รีวิวรถ

มองรถเด่นในงานบิ๊กมอเตอร์เซลส์ ไบเทค บางนา#ep1

นับถอยหลังไปอีกเพียงแค่สองอาทิตย์เท่านั้น สำหรับมหกรรมการจับจ่ายซื้อยนตรกรรมในฝันของใครหลายๆ คน และเราชาว ออโต้วาไรตี้ ยินดีที่จะนำเสนอข้อมูลของเหล่ายนตรกรรมที่น่าสนใจที่จะไปอวดโฉมในเวทีไบเทค บางนา ช่วงวันที่ 18-26 สิงหาคม นี้ ในงาน บิ๊กมอเตอร์เซลส์ ซึ่งในงานนี้จะมีการเปิดตัวรถยนต์ใหม่ด้วยกัน 2 ค่าย คือ ค่ายมิตซูบิชิ ที่จะนำเสนอ Mitsubishi Expander และค่ายนิสสัน กับการเปิดตัวรถ PPV ด้วย Nissan Terra แต่ก็ใช่ว่าจะมีเพียงรถใหม่ที่น่าสนใจเพียงเท่านี้ เพราะก่อนหน้างานโดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมา มีการเปิดตัวรถใหม่ๆ ที่น่าสนใจไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็น Mazda CX-3 , MG 3 , Mercedes – AMG GLC 43 4 MATIC Coupe , Ford Everest & Ranger รถที่มาแรงอย่าง Toyota CH-R

Mitsubishi Expander

ค่ายมิตซูบิชิได้ให้นิยามเจ้ายนตรกรรมตัวใหม่ เอ็กซ์แพนเดอร์ ใหม่ ตัวนี้ว่าเป็นรถที่มาในสไตล์ครอสโอเวอร์ ที่ได้รับการออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการผสมผสานกันระหว่างรถในสไตล์เอสยูวีและเอ็มพีวี ที่ถ่ายทอดความแข็งแกร่งและแรงบันดาลใจที่จะสร้างสรรค์รถในเซกเมนต์ใหม่ เพื่อให้เป็นรถครอสโอเวอร์ที่มีความอเนกประสงค์ในการใช้งาน ที่มาพร้อมรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวจนดูคล้าย ปาเจโร่สปอร์ตย่อส่วนด้วยเอกลักษณ์การออกแบบ Advanced ‘Dynamic Shield’ ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส รวมถึงสมรรถนะการขับขี่ และห้องโดยสารขนาดใหญ่


รูปลักษณ์ภายนอกที่มาในแบบครอสโอเวอร์นั้น ดูล้ำสมัยและโดดเด่น ดูมีมิติด้วยเส้นสายที่ช่วยขับเน้นรูปทรงตั้งแต่ด้านหน้าจรดด้านท้าย ที่สะท้อนถึงปรัชญาการออกแบบ “Form Follows Function” หรือ รูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับการใช้งาน ซึ่งให้ความลงตัวด้วยดีไซน์การออกแบบที่โฉบเฉี่ยวผสานเข้ากับความแข็งแกร่ง และเปี่ยมด้วยระบบความปลอดภัย
ด้านหน้าที่ดูโฉบเฉี่ยวนั้น สามารถมองเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นในส่วนของไฟหน้า และไฟหรี่แบบ Crystal LED ที่ติดตั้งอยู่ด้านบนของฝากระโปรงและเยื้องมาด้านหน้าซุ้มล้อ ไฟหน้าที่เป็นแบบมัลติรีเฟล็กเตอร์แบบฮาโลเจนได้รับการติดตั้งในกันชนหน้าซึ่งการออกแบบในสไตล์นี้เพื่อเลี่ยงไม่ให้แสงจากไฟหน้ารบกวนสายตาผู้ใช้ทางเท้ารวมถึงผู้ขับขี่ยานพาหนะที่สวนมา ในรุ่นท้อป GT มาพร้อมไฟตัดหมอกหน้า ไฟท้าย LED พร้อมแผ่นสะท้อนแสงบริเวณกันชนท้าย สปอยเลอร์หลังมาพร้อมไฟเบรกดวงที่สามแบบ LED มือเปิดประตูโครเมี่ยม คิ้วขอบกระจกประตูและแผงกันกระแทกด้านหน้าและด้านหลัง รวมถึงคิ้วขอบประตูด้านล่างข้างตัวรถ


ภายในห้องโดยสารออกแบบมาให้ดูกว้างขวาง และดูสะดวกสบายแม้จะเป็นรถในแบบ 7 ที่นั่ง แต่ก็ไม่ดูคับแคบ การจัดวางตำแหน่งอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ได้รับการจัดวางในตำแหน่งที่เหมาะสมและใช้งานง่าย เบาะนั่งในแถวที่สองและสามสามารถปรับพับเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการบรรทุกสัมภาระได้หลากหลายรูปแบบ โทนสีดำเป็นสิ่งที่ถูกเลือกมาให้เหมาะกับผู้ใช้รถในบ้านเรา รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบมาจากแนวความคิด “โอโมเตะนาชิ” (Omotenashi) หรือการดูแลและใส่ใจในทุกรายละเอียดแบบญี่ปุ่น เพื่อมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสาร ที่เปี่ยมไปด้วยความอเนกประสงค์ ทันสมัยและรองรับการใช้งานได้อย่างครบครันด้วยช่องจัดเก็บของมากมายและช่องชาร์จกระแสไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายที่ เอ็กซ์แพนเดอร์ จัดมาให้นั้น มีทั้งกุญแจอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ แผงควบคุมระบบปรับอากาศด้านหลัง พวงมาลัยปรับระดับสูง-ต่ำและปรับเข้า-ออก และสวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย พร้อมหน้าจอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบสามมิติ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว พวงมาลัยและหัวเกียร์หุ้มหนัง มีระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย จอภาพระบบสัมผัสขนาด 6.2 นิ้ว และเบาะที่นั่งหุ้มหนังและวัสดุหนังสังเคราะห์


เครื่องยนต์เป็นแบบอลูมินั่มอัลลอยเบนซิน 4 สูบ MIVEC DOHC 16 วาล์ว 1,499 ซีซี. จ่ายเชื้อเพลิงด้วยหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ ECI-MULTI 32 Bit ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 141 นิวตัน-เมตรที่ 4,000 รอบ/นาที รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงตั้งแต่ E20 ขึ้นไป ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด พร้อมระบบ INC (Idle Neutral Control) ระบบบังคับเลี้ยวเป็นแบบแร็คแอนด์พีเนี่ยน พร้อมระบบเพาเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า รองรับการสั่นสะเทือนด้วยช่วงล่างหน้าแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัท คอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลง และเหล็กค้ำหัวโช้ค ส่วนด้านหลังเป็นแบบทอร์ชันบีม ระบบเบรกหน้าดิสก์หลังดรัม


ระบบความปลอดภัยมีมาให้ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC-Active Stability Control) ระบบป้องกันการลื่นไถล (TCL-Traction Control System) ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA-Hill Start Assist System) ABS, EBD,BA ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติขณะเบรกกะทันหัน ถุงลมนิรภัยด้านคนขับและผู้โดยสารตอนหน้า เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับและระบบผ่อนแรงอัตโนมัติ

Nissan Terra

เป็นข่าวเป็นคราวกันมาร่วมปี หลังจากที่มีการเปิดตัวกันครั้งแรกบนแผ่นดินมังกร ตามด้วยดินแดนตากาล็อก และในที่สุดก็ถึงเวลาของการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย ถือได้ว่าเป็นน้องใหม่ล่าสุดของรถในรูปแบบ PPV ที่กั๊กๆ เก็งๆ กันมาหลายปีดีดัก เพราะพื้นฐานนั้นก็ไม่ได้มาจากไหน ก็เป็น Nissan NAVARA เรื่องของหน้าตารูปลักษณ์จะโดนใจผู้ใช้ในบ้านเรามากน้อยแค่ไหนก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะค่ายนี้นิยมที่จะโหมโรงเฉพาะแค่ตอนเปิดตัวรถใหม่ หลังจากนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระแส ถ้าดันขึ้นก็ขายดีกันตามปกติ ถ้าดันไม่ขึ้นก็ยังเป็นเรื่องปกติธรรมดาของค่ายนี้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นน้องใหม่ในตลาดเซกเมนต์นี้ บอกได้คำเดียวว่าเหนื่อย แต่ละเจ้าล้วนมีดีต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขุมพลัง แรงม้า แรงบิด เทคโนโลยีความปลอดภัย อีกทั้งเรื่องของราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญอีกเช่นกัน

ว่ากันตามสเปคแล้ว Nissan Terra มีความยาว 4,885 มิลลิเมตร กว้าง 1,865 มิลลิเมตร สูง 1,835 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,850 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้อง 225 มิลลิเมตร รูปทรงก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับคู่ต่อกรในท้องตลาดได้อยู่บ้าง ส่วนรูปโฉมโนมพรรณก็ต้องบอกว่าแล้วแต่คนชอบ ที่ตกม้าตายก็มีให้เห็นกันแล้ว ตลาดรถยนต์ในเมืองไทยนั้นหน้าตาไม่ดีไม่จูงใจก็มีสิทธิม้วนเสื่อกลับบ้านเก่าได้เหมือนกัน

ว่ากันด้วยเรื่องของขุมพลังเครื่องยนต์ สำหรับในตลาดบ้านเรานั้นดูเหมือนว่าจะลดขนาดของเครื่องยนต์ลงจากของ Navara เหลือเพียง 2.3 ลิตร ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันอาจจะมีรุ่น 2.5 เป็นตัวเลือกได้เช่นกัน สเปคเครื่องยนต์ 2.3 นั้น เป็นแบบแถวเรียง 4 สูบเทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 450 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด ซึ่งก็น่าจะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง และขับเคลื่อนสี่ล้อ

ว่ากันด้วยเรื่องของระบบรองรับการสั่นสะเทือน ด้านหน้าเป็นปีกนกคู่พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนด้านหลังนั้นเป็นแบบ 5 Link ส่วนระบบเบรกนั้นเพื่อให้ราคาไม่สูงเกินไปนัก ด้านหน้าจะเป็นแบบดิสก์เบรก และหลังเป็นดรัมเบรก

Mazda CX-3

มาสด้า ซีเอ็กซ์–3 ใหม่ ถูกวางให้เป็นทางเลือกที่แสนพิเศษของผู้ชื่นชอบรถอเนกประสงค์คอมแพคเอสยูวีที่แตกต่างจากรถยนต์นั่ง หรือรถเอสยูวีขนาดใหญ่ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย เหมาะสำหรับลูกค้าผู้หลงใหลรูปลักษณ์สไตล์การออกแบบที่เกิดจากแรงบันดาลใจ ผสานกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ สะท้อนภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

มาสด้า ซีเอ็กซ์–3 ใหม่ 2018 คอลเลคชั่น เป็นรถที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นรถอเนกประสงค์คอมแพคเอสยูวี ที่ได้รับการออกแบบภายใต้รูปลักษณ์ความเป็นสปอร์ตระดับพรีเมี่ยม และโดนใจด้วยอุปกรณ์มาตรฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัยระดับโลก มาพร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน ดีไซน์ภายนอกและภายในใหม่หมด ฟังก์ชั่นครบครันในรูปแบบของคอมแพคเอสยูวีที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ  ขนาดรูปทรงและรูปแบบที่เหมาะสม เพื่อการใช้งานที่ง่ายและสะดวกสบาย การขับขี่ที่สนุก คล่องตัวสูง ด้วยเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 1.5 ลิตร และสกายแอคทีฟเบนซิน 2.0 ลิตร ครบครันด้วยอุปกรณ์ด้านความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก ห้องโดยสารใหม่หมด พร้อมฟังก์ชั่นการใช้งานที่สะดวกสบาย เป็นที่สุดในคลาส (One Class Above)

มาสด้า ซีเอ็กซ์-3 ใหม่ มีชุดระบบขับเคลื่อน 2 ประเภท คือ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 1.5 ลิตร ที่รวมเอาความโดดเด่นในเรื่องอัตราเร่ง การประหยัดเชื้อเพลิงที่เป็นเลิศ  ส่วนเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซินขนาด 2.0 ลิตร เต็มเปี่ยมด้วยพละกำลัง และการตอบสนองของเครื่องยนต์ที่ยอดเยี่ยม ระบบช่วงล่างถูกปรับให้สมดุลและควบคุมได้อย่างแม่นยำเพื่อการขับขี่ที่สะดวกสบาย (excellent ride comfort) และความพยายามต่อมาคือการปรับปรุงสมรรถนะของ NVH เพื่อทำให้เสียงรบกวนในห้องโดยสารมีน้อยที่สุด


ช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวสกายแอคทีฟ (SKYACTIV – Chassis): ตอบสนองทุกการควบคุมและการขับขี่ที่สบายระดับพรีเมียม การพัฒนามาสด้า ซีเอ็กซ์-3 รุ่นก่อนหน้านี้ มีการติดตั้งระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ หรือ G-Vectoring Control (GVC) ที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การขับที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันระหว่างคนขับกับรถ โดยการควบคุมให้แรง G ที่กระทำต่อตัวรถมีความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยลดการโคลงของลำตัวผู้โดยสาร และลดความเหนื่อยล้าในขณะขับขี่ GVC ได้เพิ่มเสถียรภาพบนถนนลื่นจากฝนตกหรือถนนที่มีหิมะปกคลุม เป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารทุกคน

CX-3 มาพร้อมกับเทคโนโลยี i-ACTIVSENSE ในมาสด้า ซีเอ็กซ์–3 ใหม่ 2018 คอลเลคชั่น
 ระบบ Advanced Blind Spot Monitoring (ABSM) & Rear Cross Traffic Alert (RCTA) ระบบตรวจจับยานพาหนะจากด้านข้างและด้านหลังที่กำลังใกล้เข้ามาบริเวณจุดบอด พร้อมทั้งเตือนเมื่อผู้ขับขี่จะทำการเปลี่ยนเลน RCTA จะช่วยเตือนผู้ขับขี่เมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
 ระบบ Lane Departure Warning System (LDWS) ระบบคาดการณ์การเบี่ยงออกนอกเลน และเตือนผู้ขับขี่ถึงอันตรายผ่านทางเสียง
 ระบบ Adaptive LED Headlamps (ALH) ระบบปรับการทำงานของไฟหน้าสูง-ต่ำ แยกอิสระซ้ายขวาอัตโนมัติ เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพถนน ตำแหน่งรถคันหน้า รวมถึงรถที่วิ่งสวนมา เพิ่มความปลอดภัยขณะขับขี่
 ระบบ Driver Attention Alert (DAA) ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากความเมื่อยล้า โดยส่งเสียงและสัญญาณไฟเตือนให้หยุดพัก เมื่อตรวจพบพฤติกรรมเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่
 ระบบ Mazda Radar Cruise Control (MRCC) ช่วยควบคุมความเร็ว และรักษาระยะห่างจากรถคันข้างหน้าอัตโนมัติ
 ระบบแสดงภาพ 360 องศา รอบทิศทาง หรือ 360o View Monitor พร้อมมุมกล้องในแบบ Top View ช่วยให้การขับขี่ทำได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัยยิ่งขึ้น
 ระบบ Smart City Brake Support (SCBS) และระบบ Smart City Brake Support-Reverse (SCBS-R) ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะเดินหน้าและถอยหลัง ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุจากการชน
 ระบบ Smart Brake Support (SBS) ระบบเตือนการชนด้านหน้าและช่วยเบรกอัตโนมัติ เมื่อพบความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เพื่อลดโอกาสในการชนรถคันหน้า


ราคาจำหน่ายรถยนต์มาสด้า ซีเอ็กซ์–3 ใหม่ 2018 คอลเลคชั่น
• รุ่น 2.0 E เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2.0 ลิตร ราคา 879,000 บาท
• รุ่น 2.0 C เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2.0 ลิตร ราคา 955,000 บาท
• รุ่น 2.0 S เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2.0 ลิตร ราคา 1,029,000 บาท
• รุ่น 2.0 SP เครื่องยนต์สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 2.0 ลิตร ราคา 1,083,000 บาท
• รุ่น 1.5 XDL เครื่องยนต์คลีนดีเซลสกายแอคทีฟ-ดี ขนาด 1.5 ลิตร ราคา 1,189,000 บาท
สำหรับสีตัวถังภายนอกของ มาสด้า ซีเอ็กซ์–3 ใหม่ 2018 คอลเลคชั่น ประกอบด้วย 2 สีใหม่ที่เพิ่มเติมเข้ามา ได้แก่ สีเทา แมชชีน เกรย์ และสีแดงโซลเรด คริสตัล โดยสีใหม่นี้ทำให้เกิดความเจิดจรัส มีพลังและมิติความลึก แวววาว อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีการพ่นสีแบบ TAKUMINURI ของมาสด้า โดยสีนั้นจะมีความอิ่มตัวขึ้น 20% และดูมีความลึก 50% มากกว่าสีแดงเดิม มีความแวววาว สะท้อนแสงมากยิ่งขึ้น ส่วนสีอื่นๆ ที่มีให้เลือกนอกจากนี้ ได้แก่ สีน้ำตาล ไททาเนียม แฟลช , สีดำ เจ็ท แบล็ก,สีขาว สโนว์เฟลก ไวท์ เพิร์ล, สีขาว เซรามิก เมทัลลิค, สีน้ำเงิน อีเทอนอล บลู

Ford Everest & Ranger

แม้ว่าตลาดรถยนต์นั่งของฟอร์ดจะล้มเหลวในบ้านเรา แต่ในส่วนของความเป็นรถ PPV และรถ Pick up แล้ว บอกได้คำเดียวว่าได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และถือได้ว่าเป็น Flagship ของค่ายนี้ทีเดียว มาในครั้งนี้ทั้ง Everest และ Ranger มาด้วยเครื่องยนต์ตัวใหม่ที่ลดขนาดลงแต่ให้แรงม้าและแรงบิดที่ดีขึ้น เครื่องยนต์ถูกปรับให้เล็กลงเหลือเพียง 2.0 ลิตร แต่พ่วงด้วยเทอร์โบ ซึ่งมีทั้งเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0L Bi-Turbo DIESEL จะให้แรงม้าสูงสุด 213 แรงม้าและแรงบิดสูงสุด  500 นิวตัน-เมตรกันเลยทีเดียว ส่วนรุ่น 2.0L Turbo DIESEL ให้แรงม้า 180 แรงม้ากับแรงบิดสูงสุดที่ 420 นิวตัน-เมตร มาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ที่ถือเป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของฟอร์ด ที่ไม่เพียงแค่ปรับปรุงอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเท่านั้น แต่ยังให้อัตราเร่งที่ดีขึ้นอีกด้วย

ในรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นมีการติดตั้งระบบ Torque-on-Demand ที่มีคุณสมบัติเด่นในเรื่องของการช่วยส่งถ่ายกำลังเครื่องยนต์ไปยังล้อแบบอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มแรงและการยึดเกาะถนนสูงสุด ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบควบคุมพวงมาลัยพาวเวอร์แบบช่วยผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า (EPAS) โดยที่น้ำหนักของพวงมาลัยจะเบาในความเร็วต่ำ และจะหนักขึ้นเมื่อใช้ความเร็วสูง

ในเรื่องของความสะดวกสบาย Everest มีระบบประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า รวมถึงเทคโนโลยีการตัดเสียงรบกวน ด้วยการใช้ไมโครโฟนที่มีความไวต่อเสียงถึง 3 ตัวในการตรวจจับและวัดระดับเสียง โดยที่ระบบนี้จะทำการปล่อยคลื่นเสียงที่ตรงข้ามกันออกมาเพื่อหักล้างเสียงเครื่องยนต์และลดเสียงรบกวนจากภายนอก หลังคาไฟฟ้า Panoramic Moonroof  เบาะนั่งแถวที่ 3 พับด้วยไฟฟ้า

Ford Everest ใหม่ มาพร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน ซึ่งผสานระบบเบรกแบบ AEB เพื่อหยุดรถและช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กม./ชม. ขึ้นไปพร้อมีเจอร์ใหม่ๆทั้งระบบตรวจจับลมยาง ประตูท้าย เปิด-ปิดด้วยไฟฟ้าแบบแฮนฟรี กุญแจรีโมทอัจฉริยะและปุ่มสตาร์ทอัตโนมัติพร้อมระบบความบันเทิง SYNC 3 ผ่านหน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่แบบ ฟูลคัลเลอร์ 8 นิ้ว รองรับ Apple Car Play และ Android Auto

ระบบความปลอดภัยมีทั้ง ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) ระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัจฉริยะ (Auto High Beam Control) ระบบแจ้งเตือนการขับขี่ (Driver Alert System) ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ (Active Park Assist)

ราคาจำหน่ายของ Everest 2018

– 2.0 Titanium+ Bi-Turbo 4WD ราคา 1,799,000 บาท
– 2.0 Titanium+ ราคา 1,599,000 บาท
– 2.0 Titanium ราคา 1,439,000 บาท
– 2.0 Trend ราคา 1,299,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีเครื่องยนต์ดีเซลให้เลือกถึง 3 แบบเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายยิ่งขึ้น ได้แก่ เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ 2.0 ลิตร เทอร์โบ และเครื่องยนต์ดูราทอร์ค ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบ

เครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ของฟอร์ดผลิตจากวัสดุและการออกแบบทางวิศวกรรมที่ล้ำสมัย อีกทั้งยังมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ทรงพลังและเปี่ยมประสิทธิภาพ ด้วยระบบคอมมอนเรล หัวฉีดไดเร็คอินเจ็คชั่น ท่อร่วมไอดี และสายพานไทม์มิ่งแบบจุ่มในน้ำมันเครื่อง

พิเศษสุดสำหรับรุ่นแร็พเตอร์ และรุ่นไวล์ดแทรค 4×4 เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด พร้อมมอบแรงบิดที่สูงขึ้นเพื่อรองรับการขับขี่ที่หลากหลาย ทำให้เสียงเครื่องยนต์เงียบลงกว่าเดิม ช่วยให้การเดินทางด้วยฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ สะดวกสบายยิ่งขึ้น

เครื่องยนต์ไบเทอร์โบ ขนาด 2.0 ลิตร ใช้ระบบ Sequentail Turbocharging ที่ผสานการทำงานของเทอร์โบชาร์จเจอร์ทั้ง 2 ตัว เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพและมอบสมรรถนะสูงสุด โดยเทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวแรกเป็นแบบเทอร์โบแปรผัน (Vartiable Turbocharger) จะช่วยเร่งการตอบสนองของคันเร่ง และลดช่วงการรอรอบ ช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดและแรงม้าสูงแม้ตอนใช้ความเร็วต่ำ ในขณะที่เทอร์โบชาร์จเจอร์ตัวที่สองซึ่งเป็นระบบเทอร์โบ Fixed-geometry จะรับหน้าที่ต่อเพื่อเพิ่มกำลังและความเรียบลื่นให้กับเครื่องยนต์ขณะใช้ความเร็วสูง

ด้วยแรงบิด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ไบเทอร์โบมอบแรงบิดที่เหนือกว่า และอัตราทดเกียร์ที่แคบลงของเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด จะช่วยเพิ่มพลังและแรงเร่ง ทำให้การไต่เขาที่ลื่นและสูงชันง่ายดายยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกัน ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์และไวล์ดแทรค ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ใหม่ ยังคงสมรรถนะที่เหนือชั้นในการบรรทุกและลากจูงได้สูงสุดถึง 3,500 กิโลกรัม

เครื่องยนต์ 2.0 ลิตร เทอร์โบ ในรุ่นไวล์ดแทรค 4×2 และรุ่นใหม่ลิมิเต็ด (Limited) มาพร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดที่ล้ำหน้าของฟอร์ด มอบกำลังสูงถึง 180 แรงม้า และแรงบิด 420 นิวตันเมตร สำหรับรุ่น Limited ยังมีรุ่นเกียร์ธรรมดา 6 สปีดให้เลือกอีกด้วย

ส่วนรุ่น XLT XLS และ XL มาพร้อมเครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.2 ลิตร เทอร์โบมอบกำลัง 160 แรงม้า และแรงบิด 385 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์อัตโนมัติและเกียร์ธรรมดา 6 สปีด

เครื่องยนต์ของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่

ดูราทอร์ค 2.2 ลิตรกำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด385 นิวตันเมตร ที่ 1,600-2,500 รอบต่อนาที
2.0 ลิตร เทอร์โบ กำลังสูงสุด180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด420 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที
2.0 ลิตร ไบเทอร์โบ กำลังสูงสุด213 แรงม้า ที่ 3,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ที่ 1,750-2,000 รอบต่อนาที

ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มาพร้อมระบบเตือนการชน (Pre-Collision Assist) ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจจับยานพาหนะ (Vehicle Detection) เป็นครั้งแรกในตลาดรถกระบะ ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้านหน้า และจะทำการช่วยเบรกจนหยุดนิ่งเมื่อระบบพบว่าคนขับไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ช่วยลดอัตราการชนท้ายและการชนคนเดินถนนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไป

ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทาง (Lane Keeping System) และระบบแจ้งเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกจากเลน (Lane Departure Warning) รวมถึงระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control) พร้อมระบบเตือนการชนด้านหน้า (Forward Collision Warning System) ยังคงมีอยู่ในฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เช่นเดิม

เทคโนโลยีเที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถระดับเดียวกัน ยังรวมถึงระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ (Active Park Assist – APA) ซึ่งช่วยให้การเทียบจอดรถข้างทางเป็นเรื่องง่าย โดยระบบกึ่งอัตโนมัติจะบังคับทิศทางของรถให้เข้าสู่ช่องจอด ผู้ขับขี่เพียงควบคุมคันเร่งหรือเบรกเท่านั้น

นอกจากนี้ เรนเจอร์รุ่นไวล์ดแทรค และ LTD มาพร้อมระบบผ่อนแรงฝากระบะท้าย (Easy Lift Tailgate) ครั้งแรกในตลาดรถกระบะ ด้วยกลไกซึ่งช่วยผ่อนแรงของผู้ใช้ลง 70 เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้เปิดปิดฝากระบะท้ายง่ายดายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกการใช้งาน ทั้งในวันทำงานที่หนักหน่วง การเดินทางไกลในช่วงสุดสัปดาห์หรือการผจญภัยแบบออฟโรด ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางของเรนเจอร์ตกแต่งในโทนสีดำ พร้อมพื้นผิววัสดุตรงจุดสัมผัสที่ทนทานเพื่อคุณภาพการใช้งานที่ยาวนาน พร้อมเพิ่มความหรูหราด้วยการตกแต่งรายละเอียดด้วยโครเมียมและการเดินด้ายสีเงิน

นอกจากนี้ เพื่อให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรู้สึกสบายและเป็นส่วนตัว รวมถึงได้รับความบันเทิงสูงสุด ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ยังเพิ่มระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร (Active Noise Cancellation) ในรุ่นไวล์ดแทรค ระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออีกด้วย

ระบบซิงค์ 3 (SYNC 3) รองรับ Apple Carplay และ Andriod Auto พร้อมบลูทูธ จอทัชสกรีน ฟูลคัลเลอร์ ขนาด 8.0 นิ้ว และกล้องมองหลัง ผู้ขับขี่ยังสามารถใช้งาน Apple Maps และระบบแผนที่นำทางด้วยดาวเทียมซึ่งติดตั้งมากับรถเมื่อออกนอกพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ นอกจากนี้ ระบบซิงค์ 3 ยังมาพร้อมระบบจดจำเสียงและระบบสั่งงานเสียงด้วยภาษาไทยเพื่อการใช้งานที่คล่องตัวยิ่งขึ้น

ระบบซิงค์ 3 ยังครอบคลุมไปถึงระบบช่วยโทรฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ซึ่งจะทำงานผ่านโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่อผ่านบลูทูธภายในรถ เพื่อติดต่อไปยังหมายเลข 1669 ในกรณีเกิดอุบัติเหตุจนถุงลมนิรภัยทำงานหรือระบบตัดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ระบบช่วยโทรฉุกเฉินนี้จะติดตั้งมากับรถฟอร์ด เรนเจอร์ใหม่ทุกคันที่ใช้ระบบซิงค์ 3

ระบบช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อลดการโคลงตัวและการควบคุมการทรงตัวที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น โดยเน้นที่การยกระดับประสบการณ์การขับขี่เมื่อบรรทุกและลากของหนัก ด้วยการปรับเปลี่ยนระบบช่วงล่างใหม่นี้ ช่วยให้สมรรถนะในการขับขี่ดีขึ้น ลดการโคลงตัวและเพิ่มความแม่นยำในการควบคุมทิศทาง โดยยังคงสมรรถนะที่เหนือชั้นในการลากจูงและบรรทุกสิ่งของอันเป็นเอกลักษณ์ของฟอร์ด เรนเจอร์ไว้ได้

ราคา สี และบริการ
ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีให้เลือกทั้งหมด 20 รุ่น ตามราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้:
แร็พเตอร์ – ราคา 1,699,000 บาท
ไวล์ดแทรค – มีให้เลือก 2 รุ่น ราคาตั้งแต่ 1,029,000 – 1,265,000 บาท
ลิมิเต็ด (LTD) – มีให้เลือก 4 รุ่น ราคาตั้งแต่ 889,000 – 1,029,000 บาท
XLT – มีให้เลือก 4 รุ่น ราคาตั้งแต่ 749,000 – 869,000 บาท
XLS – มีให้เลือก 4 รุ่น ราคาตั้งแต่ 659,000 – 789,000 บาท
XL – มีให้เลือก 3 รุ่น ราคาตั้งแต่ 559,000 – 649,000 บาท
กระบะฐานล้อสั้น (Short Wheel Base) – มีให้เลือก 2 รุ่น ราคาตั้งแต่ 589,000 – 799,000 บาท

ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มีสีภายนอกให้เลือก 7 สี ได้แก่ สีใหม่ 2 สี นั่นคือ สีส้มเซเบรอ (เฉพาะรุ่นไวล์ดแทรค) และสีฟ้าไลท์นิ่ง บลู (Lightning Blue) และสีมาตรฐาน ได้แก่ สีเงินอะลูมิเนียม เมทัลลิค (Aluminuim Metallic) สีดำแอพโซลูท แบล็ค เมทัลลิค (Absolute Black Metallic) สีเทาเมทีออร์ เกรย์ เมทัลลิค (Meteor Grey Metallic) สีขาวโฟรเซ่น ไวท์ (Frozen White) และสีแดงทรู เร้ด (True Red)

เรนเจอร์ แร็พเตอร์ มีสีภายนอกให้เลือก 5 สี ได้แก่ สีเทาคองเคอร์ เกรย์ (Conquer Grey) ซึ่งเป็นสีใหม่เฉพาะแร็พเตอร์เท่านั้น และสีฟ้าไลท์นิ่ง บลู (Lightning Blue) สีแดงเรซ เร้ด (Race Red) สีดำแชโดว์ แบล็ค (Shadow Black) และสีขาวโฟรเซ่น ไวท์ (Frozen White)

นอกจากนี้ ลูกค้าฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะได้รับความคุ้มค่าและความสะดวกสบาย ด้วยบริการฟรีค่าแรงในการตรวจเช็คตามระยะ สูงสุดถึง 5 ปี หรือภายในระยะ 75,000 กิโลเมตร เพียงเข้าตรวจเช็คระยะทุก 15,000 กิโลเมตร หรือทุก 1 ปี

 

Most Popular

To Top