รีวิวรถ

มองรถเด่นในงานบิ๊กมอเตอร์เซลส์ ไบเทค บางนา ep.2

Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รุ่นประกอบในประเทศ


Mercedes-AMG GLC 43 4MATIC Coupé รถยนต์เอสยูวีคูเป้รุ่นล่าสุดจากค่ายแบรนด์รถยนต์สมรรถนะสูง ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ AMG Performance 4MATIC และความสปอร์ตโฉบเฉี่ยว

ดีไซน์ภายนอก ด้วยชุดตกแต่ง AMG bodystyling รอบคัน, ไฟหน้าแบบ LED Intelligent Light System, ล้ออัลลอย ดีไซน์สปอร์ตจาก AMG แบบ 5 ก้านคู่ขนาด 21 นิ้ว, ตกแต่งด้านท้ายด้วย AMG Spoiler-lip, ปลายท่อไอเสีย 2 ท่อ แบบ 4-pipe look, ท่อไอเสียแบบ AMG Sports exhaust system, ดิสก์เบรกแบบมีช่องระบายความร้อน, คาลิปเปอร์เบรกสีเทาพร้อมสัญลักษณ์ AMG และระบบกันสะเทือนแบบ AMG Sports Suspension Based on AIR BODY CONTROL พร้อมการปรับแต่งแบบ AMG sports ซึ่งมาช่วยเสริมความดุดันให้กับรถยนต์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี


ดีไซน์ภายใน โดดเด่นด้วยเบาะที่นั่งหุ้มหนังแบบ AMG Sport seat ตัดสลับ DINAMICA microfibre ตกแต่งด้วยด้ายสีแดง เพิ่มความเร้าใจด้วย AMG Carbon-fibre โดยเบาะนั่งสำหรับ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารด้านหน้าปรับระดับด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมหน่วยบันทึกความจำ, ชุดคันเร่งและแป้นเบรกแบบสปอร์ต, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด หุ้มด้วยหนัง nappa คุณภาพสูง, พวงมาลัยนิรภัยพร้อมพาวเวอร์ ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถ, กาบบันได สเตนเลส พร้อมสัญลักษณ์ AMG แบบเรืองแสง, ระบบกุญแจแบบ KEYLESS-GO รวมถึงไฟเรืองแสงล้อมรอบห้องโดยสารแบบ 3 สี และอุปกรณ์มัลติมีเดีย อย่าง วิทยุ-ซีดี MB Audio 20, ระบบเสียงรอบทิศทาง Burmester®, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย touchpad, ระบบสำหรับเชื่อมต่อโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Bluetooth), ฟังก์ชันเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) รวมถึงหลังคาพาโนรามิคซันรูฟ เลื่อนเปิด-ปิดได้ด้วยระบบไฟฟ้า


ด้านเทคโนโลยี มาพร้อมกับระบบปรับรูปแบบขับขี่ AMG DYNAMIC SELECT
ระบบความปลอดภัย อันล้ำสมัยมากมาย อาทิ ระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) ซึ่งระบบนี้ทำงานโดยใช้สัญญาณเรดาร์ที่ติดตั้งบริเวณกันชนหน้า ในการคำนวณระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถคันหน้าที่สัมพันธ์กับความเร็วของรถในขณะนั้น และ ลดความเร็วของรถโดยอัตโนมัติรวมทั้งช่วยเบรกด้วยระดับแรงเบรกประมาณ 50% ของแรงเบรกปกติ เพื่อรักษาระยะห่างตามที่ผู้ขับขี่กำหนด โดยระบบนี้สามารถตั้งค่าความเร็วของรถที่ผู้ขับขี่ต้องการได้ตั้งแต่ความเร็วที่ 0-200 กม./ชม.

AMG GLC 43 4MATIC Coupé เครื่องยนต์เบนซิน V6 เทอร์โบคู่ พร้อมอินเตอร์คูลเลอร์ 2,996 ซีซี. ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า ที่5,500-6,000 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 520 นิวตัน-เมตร ที่2,500-4,500 รอบ/นาที อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม.ในเวลา 4.9 วินาที มาพร้อมกับระบบส่งกำลังแบบ 9G-TRONIC และเครื่องยนต์แบบ V6 เทอร์โบคู่ ที่มีจุดเด่นในเรื่องระบบแรงดันเสริมท่อสำหรับนำอากาศของ ชุดเทอร์โบ (boost pressure) ส่งผลให้สามารถเพิ่มแรงม้าและแรงบิดของเครื่องยนต์รุ่นนี้

ALL NEW MG3

ALL NEW MG3 ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (BRIT DYNAMIC) ทำให้สมรรถนะ การควบคุม การออกแบบ และความปลอดภัย ในการขับขี่สนุกยิ่งขึ้น ด้วยการผสานดีไซน์ เทคโนโลยี สีสัน ความสะดวกสบาย และความคล่องแคล่วเข้าด้วยกัน

ALL NEW MG3 ยังมาพร้อมกับระบบอัจฉริยะ i-SMART ที่สามารถรองรับการสั่งการได้ด้วยเสียงภาษาไทย พร้อมกับการอัพเดทฟังก์ชันใหม่บนแผนที่นำทางที่สามารถแนะนำร้านอาหาร และที่พัก เพิ่มความสนุกอีกขั้นกับระบบเอ็นเตอร์เทนเมนต์ออนไลน์เพื่อความสนุกทุกจังหวะในการขับขี่ โดยภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางยังเพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันที่สร้างความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัย SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM 8 ฟังก์ชัน ที่ครบครันยิ่งขึ้น


ALL NEW MG3 อัพเกรดความสนุกสไตล์อังกฤษรูปลักษณ์ใหม่ ด้วยกระจังหน้าใหม่ที่โดดเด่นขึ้น พร้อมไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ (Projector Headlamp) เติมความสดใสด้วยสีสันแนว บริท ดูโอ้ คัลเลอร์ สไตลิ่ง(Brit Duo Colour Styling) และช่วยเปิดมุมมองความสนุกให้กว้างขึ้นกับหลังคา ซันรูฟ (Sunroof) แบบปรับไฟฟ้าและเสริมบุคลิกความสนุกให้โดดเด่นด้วยไฟท้ายแบบแอลอีดี ไลท์ไกด์ (LED Light Guide) การออกแบบด้านข้างที่ปราดเปรียวที่มีเส้นสายชัดเจนพาดจากด้านหน้าไปจนถึงซุ้มล้อหลัง และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ แบบ Bi-Colour ขนาด 16 นิ้ว ที่โดดเด่นสะดุดตา

ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบที่มีสไตล์ดูหรูหราสปอร์ตพรีเมียมขึ้น กว้างขวางนั่งสบายทั้งที่นั่งแถวหน้า และแถวหลัง ผสานเส้นสายกับสีสันของเบาะโดยสารลายโมเดิร์นกราฟิก เบาะที่นั่งหลังสามารถปรับพับแยกส่วนในการเก็บสัมภาระแบบ 60:40 สร้างความสะดวกสบายได้อย่างลงตัว สนุกมากขึ้นกับจอระบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว ที่ให้เทคโนโลยีเติมความสนุกในทุกเส้นทาง ด้วยฟังก์ชันที่ใช้งานได้หลากหลายทั้งฟังเพลง ดูหนัง ค้นหาโรงแรมและร้านอาหาร พร้อมกล้องมองหลังขณะถอย และสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง

พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน ควบคุมเครื่องเสียงพร้อมปุ่มรับ – วางสายโทรศัพท์ (เฉพาะรุ่น X และ V)

ALL NEW MG3 ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ DOHC VTi-TECH ขนาด 1.5 ลิตรจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีดมัลติพอยท์ เส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกสูบ x ระยะชัก (มม.) 75 x 84.8 อัตราส่วนกำลังอัด 11.5:1 ให้พละกำลัง 112 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติใหม่เพื่อตอบสนองทุกการขับขี่อย่างเต็มประสิทธิภาพ ระบบส่งกำลังอัตโนมัติ 4 สปีด พร้อม Manual Mode

ระบบความปลอดภัยใน ALL NEW MG3 เช่นเดียวกับรถยนต์ เอ็มจี รุ่นอื่นๆ ด้วยระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย USD (Ultimate Stiffness Design) พร้อมถุงลมนิรภัยคู่หน้า และมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบความปลอดภัยแบบ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM รวม 8 ฟังก์ชัน ที่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว ประกอบด้วย ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน ABS(Anti-Lock Braking System) พร้อมระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Force Distribution) ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist) ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System) เข้าโค้งอย่างมั่นใจด้วยระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System) ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System) และระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน MSR (Motor Control Slide Retainer)


ทั้งนี้ ALL NEW MG3 มีสีให้เลือก ทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีเหลืองทิวดอร์ เยลโล่ (Tudor Yellow) สีแดง รูบี เรด (Ruby Red) สีฟ้ามารีนา บลู (Marina Blue) สีขาวอาร์กติกไวท์ (Arctic White) และสีดำแบล็คไนท์ (Black Knight) พร้อมกันนี้ ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ ALL NEW MG3 จะได้รับแพ็คเกจใช้งานระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปี และได้รับความอุ่นใจกับการบริการแพสชั่น เซอร์วิส (Passion Service) ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง (Roadside Assistance) และการให้คำแนะนำผ่านศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ 1267 (MG Call Centre 1267) รวมไปถึงบริการเช็คระยะนอกสถานที่ (Mobile Services)

Toyota C-HR

TOYOTA C-HR (Coupe High Rider) ซับคอมแพคเอสยูวี (Sub-compact SUV) ที่ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบจากเพชร (Diamond) เจียระไนรูปทรงเหลี่ยมมุมจากเอกลักษณ์ของเพชรที่โดดเด่นสวยสะดุดตา ทุกมุมมอง ครบครันด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ อันได้แก่
1) ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ นิยามของยนตรกรรมอัจฉริยะ (New Generation of Hybrid)
ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 ได้รับการพัฒนาแบตเตอรี่ใหม่ให้มีขนาดเล็กลง แต่สามารถเก็บประจุไฟฟ้าได้มากขึ้น ด้วยการย้ายตำแหน่งของแบตเตอรี่ทำให้สามารถระบายความร้อนได้ดีขึ้น มีความทนทานและประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น ด้วยอัตราการประหยัดน้ำมันสูงถึง 24.4 กม./ ลิตร รับประกันคุณภาพระบบไฮบริด 5 ปี และรับประกันคุณภาพแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี


 เครื่องยนต์ 2ZR-FXE ขนาด 1.8 ลิตร ระบบเผาไหม้แบบ Atkinson Cycle พร้อมระบบ VVT-I ที่ประยัดเชื้อเพลิงและรักษาสิ่งแวดล้อม
 เกียร์ E-CVT ชุดระบบขับเคลื่อนอัจฉริยะที่ผสานการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับขี่ที่นุ่มนวลต่อเนื่อง
 PCU (Power Control Unit) พัฒนาให้ระบายความร้อนได้ดีขึ้น ช่วยให้ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 แบตเตอรี่ไฮบริด Ni-MH (Nickel-Metal Hydride) แบตเตอรี่ใหม่มีขนาดเล็กลง เก็บประจุไฟฟ้าได้เร็วขึ้น และสามารถจ่ายไฟให้แก่มอเตอร์ไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมพัฒนาระบบระบายความร้อนใหม่ ทำให้มีความทนทานและประหยัดน้ำมันยิ่งขึ้น


2) สถาปัตยกรรมโครงสร้างมาตรฐานใหม่ สมบูรณ์แบบทุกการเคลื่อนไหว (Toyota Global New Architecture หรือ TNGA) จากแนวคิดที่ท้าทายการพัฒนายนตรกรรมให้ดียิ่งกว่าของโตโยต้า (Ever-better Cars) สถาปัตยกรรมโครงสร้างใหม่ TNGA ถูกพัฒนาขึ้นโดยการออกแบบโครงสร้างใหม่ดังนี้
 ตัวถังใหม่ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้น (Body rigidity)
 จุดศูนย์ถ่วงต่ำลง (Low center of gravity) ลดการโคลงตัวของตัวถัง ทำให้สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ
 ประสิทธิภาพการเกาะถนนที่โดดเด่น (STABILITY)
 คล่องตัวในทุกจังหวะการขับขี่ (AGILITY)
 เพิ่มทัศนวิสัยของผู้ขับขี่ให้กว้างขึ้นโดยลดจุดอับสายตาภายในห้องโดยสาร (VISIBILITY)
 ช่วงล่างด้านหลังแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbone Suspension) ที่เพิ่มประสิทธิภาพในการเกาะถนนแล้วยังเพิ่มความนุ่มนวลในการขับขี่


3) ที่สุดแห่งมาตรฐานความปลอดภัย (Toyota Safety Sense หรือ TSS) ระบบความปลอดภัยใหม่ของรถโตโยต้ามาตรฐานระดับโลก ซึ่งรวมเอาระบบความปลอดภัยขั้นสูงไว้ด้วยกัน ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (Pre-Collision System) เรดาร์จะตรวจจับวัตถุที่อยู่ด้านหน้า และทำการ ส่งสัญญาณเตือนเพื่อลดความเร็วและความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ระบบควบคุมและปรับความเร็วอัตโนมัติ (Dynamic Radar Cruise Control) ควบคุมความเร็วให้คงที่ พร้อมตรวจจับวัตถุหน้ารถด้วยเรดาร์และลดความเร็ว เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัยจากรถ คันหน้า และเร่งความเร็วกลับสู่ระดับที่ตั้งไว้เมื่อไม่มีรถขวางหน้า เพิ่มความสบายยิ่งขึ้นเมื่อขับรถทางไกล ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ (Automatic High Beams) ระบบปรับลดไฟสูง-ต่ำ อัตโนมัติ เมื่อตรวจจับได้ว่ามีรถสวนมาข้างหน้า เพื่อไม่ให้แสงไฟแยงตารถร่วมทาง พร้อมเปิดไฟอัตโนมัติเมื่อขับขี่ในที่มืด ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (Lane Departure Alert with Steering Assist) อีกขั้นของความล้ำหน้า เมื่อคุณขับรถออกนอกช่องทาง โดยไม่เปิดไฟเลี้ยวหรือเบี่ยงออกนอกเลนโดยไม่ตั้งใจ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนที่หน้าจอ MID และพวงมาลัยจะทำการหน่วงกลับอัตโนมัติ


4) เชื่อมต่อทุกเส้นทางอย่างสมบูรณ์แบบ (Toyota T-Connect Telematics)
ระบบที่เชื่อมต่อผู้ขับขี่และรถยนต์ ผ่าน Smart phone และ Apple watch พร้อมทั้งเครือข่ายศูนย์ข้อมูลอัจฉริยะ เพื่อรับข้อมูลและความช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็น ระบบนำทาง Operator ที่สามารถขอความช่วยเหลือได้ 24 ชม. ตรวจสอบตำแหน่งรถยนต์ ช่วยค้นหาพิกัดในกรณีที่รถถูกโจรกรรม และบริการสัญญาณ Wi-Fi ให้รถเชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างไร้ขีดจำกัด

เลือกเป็นเจ้าของ TOYOTA C-HR 4 รุ่น 6 สี สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด
(Premium Red/Black Roof, Blue Metallic/Black Roof, Radiant Green Metallic/Black Roof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)
และ 3 สี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน
(White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica)
 1.8 Entry ราคา 979,000 บาท**
 1.8 Mid ราคา 1,039,000 บาท**
 HV Mid ราคา 1,069,000 บาท**
 HV Hi ราคา 1,159,000 บาท**
(สำหรับสีพิเศษได้แก่ Premium Red, Blue Metallic และ Radiant Green Metallic พร้อมหลังคาสีดำเพิ่ม 10,000 บาท สี White Pearl Crystal เพิ่ม 10,000 บาท)
**ราคาดังกล่าวเป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมราคาเครื่องปรับอากาศและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว


TOYOTA C-HR ทุกรุ่น มาพร้อมการขยายเวลารับประกันคุณภาพรถใหม่เป็น 5 ปี หรือ 150,000 กม. และสำหรับ C-HR รุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด โตโยต้าขอมอบความคุ้มครองที่ครบครันด้วย Hybrid Package กับการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และระบบไฮบริด 5 ปี

 

Most Popular

To Top