New Car

ไฮไลท์รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู และมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราดในงานBMW Xpo 2022

บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่

ราคา: 17,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard) 

การเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงตระกูล M มาพร้อมกับการเปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ ที่ผสานความหลงใหลในการแข่งรถแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีทันสมัยได้อย่างลงตัว บีเอ็มดับเบิลยูรุ่นพิเศษในเซกเมนต์รถยนต์พรีเมียมขนาดกลางคันนี้ ผลิตมาในจำนวนจำกัดเพียง 1,000 คันทั่วโลก และมาให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของในจำนวนสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 4 คัน มอบสมรรถนะและประสบการณ์ การขับขี่ที่เหนือระดับด้วยพละกำลัง 405 กิโลวัตต์ / 551 แรงม้า ทุบสถิติรอบเวลาจากการทดสอบในสนามแข่งรถที่เร็วที่สุดสำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูที่ผลิตเพื่อจำหน่าย น้ำหนักที่ลดลงถึง 100 กิโลกรัม ตอกย้ำถึงคุณลักษณะอันโดดเด่นของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ไม่ว่าจะเป็น Competition (การแข่งขัน) Sport (ความสปอร์ต) และ Lightweight (น้ำหนักเบา) มอบส่วนผสมอันสมบูรณ์แบบระหว่างขุมพลังที่แรงเร้าใจเข้ากับการออกแบบอย่างชาญฉลาด

บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ มีความคล้ายคลึงด้านเครื่องยนต์กับบีเอ็มดับเบิลยู M4 GT3 ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ 6 สูบแถวเรียงพร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo ขนาด 3.0 ลิตร มอบแรงบิดเต็มสูบสูงถึง 650 นิวตันเมตร ที่ 2,750 – 5,950 รอบต่อนาที มอบพละกำลังสูงสุด 405 กิโลวัตต์ / 551 แรงม้า ที่ 6,250 รอบต่อนาที โลดแล่นด้วยความเร็วจากหยุดนิ่งถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้เหนือความคาดหมายภายในเวลาเพียง 3.7 วินาที ทำความเร็วสูงสุดที่ 307 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จับคู่กับระบบเกียร์ 8 จังหวะแบบ Steptronic พร้อม Drivelogic ตอบสนองการทำงานคู่กับเครื่องยนต์ได้ฉับไวไร้ที่ติ

ตัวถังอันแข็งแกร่งและเทคโนโลยีการออกแบบแชสซีได้รับการอัปเกรดในหลาย ๆ ด้าน เพื่อสะท้อนคุณลักษณะของรถสปอร์ตสมรรถนะสูง น้ำหนักที่ลดลงจากเบาะแบบ M Carbon Bucket Seat ล้ออัลลอยที่เบาขึ้น และการเลือกใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) มาผลิตชิ้นส่วนสำคัญ เช่น หลังคา และฝากระโปรงหน้า พร้อมกับการออกแบบและการเลือกใช้วัสดุใหม่ที่มีน้ำหนักเบาขึ้น ในบริเวณกระจังหน้า ไฟท้าย พรมปูพื้น และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ มอบส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะ ความคล่องตัว และความแม่นยำของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงสายพันธุ์ M ได้อย่างสมบูรณ์แบบ บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ ยังเสริมประสิทธิภาพด้วยระบบช่วงล่าง Adaptive M พร้อมโช้กอัพควบคุมระบบไฟฟ้า พวงมาลัยไฟฟ้าปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ และเบรกคาร์บอนเซรามิกน้ำหนักเบา M Carbon พร้อมคาลิปเปอร์สีแดงสด ระบบเบรกที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่น M มอบความมั่นใจสูงสุดขณะขับขี่ด้วยความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมขณะควบคุมเบรกในทุกสถานการณ์ แกนฝาสูบผลิตด้วยเทคนิคการพิมพ์ 3 มิติ ตอกย้ำความโดดเด่นด้านนวัตกรรมของรถสปอร์ตสมรรถนะสูงตระกูล M

บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ มาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานครบครัน ได้แก่ M Drive Professional ที่พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเสริมสัมผัสที่เร้าใจยิ่งขึ้นขณะขับขี่ในสนามแข่ง รวมถึงฟังก์ชัน M Drift Analyser ที่สามารถบันทึกและวิเคราะห์คะแนนความแม่นยำในการเข้าโค้งของผู้ขับขี่ พร้อมระบบ M Laptimer ช่วยบอกเวลาการขับขี่ต่อรอบ รวมถึงข้อมูลการขับขี่อื่น ๆ ในสนามแข่ง นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบ M Traction Control ที่ปรับระดับระบบป้องกันล้อหมุนฟรีได้ถึง 10 ระดับตามความต้องการของผู้ขับขี่ก่อนสั่งการให้ระบบควบคุมเสถียรภาพการขับขี่ทำงาน มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบา ลาย Star spoke และยาง Ultra Track ขนาด 19 นิ้วสำหรับล้อหน้าและขนาด 20 นิ้วสำหรับล้อหลัง

บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ แสดงถึงการผสานแนวคิดดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยคงไว้ซึ่งสิ่งที่จำเป็นสำหรับสุดยอดสมรรถนะบนสนามแข่ง นอกจากการออกแบบที่คำนึงถึงการลดน้ำหนักรวมของตัวรถ  พื้นผิวคาร์บอนไฟเบอร์ตัดขอบด้วยเส้นสายสีแดงสด ชูรูปลักษณ์อันปราดเปรียวของยนตกรรมแบบสปอร์ต ชิ้นส่วนตัวถังผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์รวมถึงฝากระโปรงหน้าที่มีส่วนนูนอันเป็นเอกลักษณ์ เส้นสายบริเวณส่วนโค้งถูกตัดขอบด้วยสีแดงเพื่อเน้นรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยว และเน้นจุดเด่นของรถแข่ง GT ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นด้วยไฟหน้า BMW Laserlight ที่ส่องสว่างเป็นสีเหลืองแทนสีขาวเมื่อปลดล็อกประตูและเมื่อเปิดไฟต่ำและไฟสูง ไฟท้ายแบบ LED โดดเด่นด้วยเส้นแสงที่วิจิตรบรรจงจากเทคโนโลยีเลเซอร์อันเป็นเอกลักษณ์ที่สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

จุดเด่นของการตกแต่งภายในของบีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ใหม่ คือเบาะนั่งแบบบัคเก็ตซีท M Carbon ซึ่งรวมเอารูปแบบเบาะที่นั่งของรถแข่งเข้าไว้กับโครงสร้างคาร์บอนน้ำหนักเบาสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า  โดยมุมพนักพิงสามารถปรับได้ด้วยตนเอง ในขณะที่ความสูงของเบาะนั่งต้องปรับด้วยข้อต่อแบบสกรูเท่านั้น นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู M4 CSL ยังเน้นการตกแต่งกลิ่นอายสปอร์ต ไม่ว่าจะเป็นพวงมาลัยหนัง M Alcantara เพดานหลังคาสี Anthracite แถบตกแต่งภายในวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และตราสัญลักษณ์ CSL ที่เบาะนั่ง คอนโซลกลาง แผงคอนโซลหลัง และจอแสดงผล M การออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจจากรถแข่งทำให้เข็มขัดนิรภัยรองรับการยึดได้หลายจุด แผงควบคุมบนคอนโซลกลางยังมีปุ่ม M Mode มาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานใช้สำหรับตั้งค่าการตอบสนองและรูปแบบของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่าง ๆ ส่วนมาตรวัดและหน้าจอ Head-up Display แสดงข้อมูลระหว่างการขับขี่ในสภาวะต่าง ๆ ตามสไตล์รถสปอร์ตสมรรถนะสูงตระกูล M

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่

ราคา: 4,239,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard) 

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ ต่อยอดความเป็นรถซูเปอร์สปอร์ตคอมแพ็ค สะกดสายตาด้วยรูปลักษณ์การดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวพร้อมสมรรถนะเหนือชั้นและเทคโนโลยีแชสซีที่ล้ำสมัย รถสปอร์ตคอมแพ็คสี่ที่นั่งเต็มไปด้วยบรรยากาศระดับพรีเมียมภายในห้องโดยสาร พร้อมนวัตกรรมล้ำสมัยเพื่อปฏิบัติการต่าง ๆ และยังมอบระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครันยิ่งกว่าเคย

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ ส่งพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 6 สูบแถวเรียงขนาด 3.0 ลิตร พร้อมเทคโนโลยี M TwinPower Turbo มอบพละกำลังสูงสุดที่ 275 กิโลวัตต์ / 374 แรงม้า มาพร้อมแรงบิดสูงสุด 500 นิวตันเมตร ส่งให้รถพุ่งทะยานจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 4.3 วินาที ที่ความเร็วสูงสุด 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พร้อมระบบเกียร์ 8 จังหวะแบบ Sport Steptronic มาเป็นมาตรฐาน จึงเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างแม่นยำเฉียบคมยิ่งขึ้น แป้น paddle shift บนพวงมาลัยทำงานควบคู่กับฟังก์ชัน Launch Control เพิ่มพลังความแรงสูงสุดในช่วงออกตัว และเพิ่มฟังก์ชัน Sprint สำหรับการออกตัวอย่างรวดเร็ว

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ ปรับความแข็งแกร่งของโครงสร้างเหนือกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 12% มาพร้อมการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 และระบบอากาศพลศาสตร์ที่ถูกตั้งค่าอย่างเหมาะสมเพื่อรีดสมรรถนะสูงสุด พร้อมช่วงล่างแบบ Adaptive M และระบบกันสะเทือนควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบเบรกและระบบล็อกเฟืองท้ายควบคุมด้วยไฟฟ้าแบบ M Sport องค์ประกอบสำคัญของบีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ ที่โดดเด่นกว่ารุ่นก่อนหน้า คือความปราดเปรียว การขับขี่ที่แม่นยำ และไดนามิกในการเข้าโค้ง มาพร้อมวิศวกรรมแชสซีขั้นสูงที่ต่อยอดมาจากบีเอ็มดับเบิลยูซีรีส์ 4 รวมถึงเพลาหน้าสปริงสตรัทสองข้อต่อและเพลาหลังแบบ five-link ที่ออกแบบให้แข็งแกร่งและมีน้ำหนักเบา โช้กอัพปรับแต่งโดยเฉพาะมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานเพื่อมอบการขับขี่ที่สนุกสนานเร้าใจและความสบายขณะขับขี่ บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ มาพร้อมล้ออัลลอย M น้ำหนักเบาขนาด 19 นิ้ว ลาย Double-spoke แบบสลับสี และยางรันแฟลต

รถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูสปอร์ตคอมแพ็ครุ่นนี้มาพร้อมหลังคาทรงเพรียว และกระโปรงหลังที่ออกแบบให้สั้นลงเพื่อเน้นสปอยเลอร์หลังให้เด่นชัดยิ่งขึ้น กระจังหน้าทรงไตคู่แนวนอนแบบใหม่มาพร้อมกับแผ่นปิดช่องลมแนวตั้งที่ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเสริมฟังก์ชันพิเศษในการระบายความร้อนเครื่องยนต์ ไฟหน้า Adaptive LED พร้อมไฟสูงแบบ BMW Selective Beam ให้ความสบายตา และเสริมความเข้มด้วยไฟท้าย LED แนวยาวสีใหม่ออกแบบเฉพาะเพื่อสะท้อนความปราดเปรียวอย่างมีสไตล์

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่คงความสปอร์ตด้วยห้องโดยสารที่เน้นความสะดวกสบายสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมคอนโซลกลางและแผงควบคุมล้ำสมัย เบาะนั่ง M Sport ปรับไฟฟ้า พวงมาลัยหนัง M ภายในตกแต่งด้วยอะลูมิเนียมลาย Rhombicle Anthracite M เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่แบบสปอร์ตสุดเร้าใจ พร้อมระบบปรับอากาศอัตโนมัติสามโซน ไฟส่องสว่างรอบห้องโดยสาร หลังคากระจกแบบไฟฟ้า พร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง Harman Kardon เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เบาะหลังสองที่นั่งออกแบบสไตล์สปอร์ต มอบความเป็นส่วนตัวสำหรับผู้โดยสาร

บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่ มาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ล้ำสมัยครบครัน รวมถึงระบบเตือนการชนด้านหน้า ระบบเตือนเมื่อออกนอกช่องทางเดินรถ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลัง และระบบ BMW Drive Recorder ในขณะที่ระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 8 ถูกติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน บีเอ็มดับเบิลยู M240i xDrive ใหม่มอบความสะดวกสบายในการขับขี่ด้วยบริการดิจิทัลล้ำสมัยทั้งระบบ BMW Intelligent Personal Assistant, กุญแจดิจิทัล,ระบบ Connected Music, ระบบอัปเกรดซอฟต์แวร์ระยะไกล และแท่นชาร์จแบบไร้สาย ทั้งยังมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ควบคุมได้ดังใจด้วยระบบ BMW iDrive พร้อมจอระบบสัมผัสขนาด 14.9 นิ้วและแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว รวมอยู่ใน BMW Live Cockpit รวมถึงระบบนำทางบนคลาวด์ ระบบ Apple CarPlay และ ระบบ Android Auto

 

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 ใหม่
ราคาจำหน่าย: 4,999,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู iX มาพร้อมเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าใหม่ล่าสุด พร้อมความล้ำยุคด้านเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติและการเชื่อมต่ออีกมากมาย เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานยิ่งขึ้น มาพร้อมเทคโนโลยี BMW eDrive และระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบไฟฟ้าซึ่งทำงานร่วมกันเพื่อสร้างสมรรถนะการขับขี่ในระยะยาวไกลยิ่งขึ้นและอัตราเร่งที่ทรงพลังด้วยความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 6.1 วินาที บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 ส่งพละกำลังรวมสูงสุด 240 กิโลวัตต์ / 326 แรงม้า ระบบ BMW eDrive เจเนอเรชั่นที่ห้านี้ยังทำงานพร้อมเทคโนโลยีเซลล์แบตเตอรี่ล่าสุด มอบระยะทางขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน WLTP สูงสุดถึง 425 กิโลเมตร สร้างแรงบิดรวมได้สูงสุดถึง 630 นิวตันเมตร แบตเตอรี่แรงดันสูงในบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 มีความจุพลังงานสุทธิ 76.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง รองรับ
การชาร์จแบบ DC ได้สูงสุด 150 กิโลวัตต์ จึงสามารถชาร์จจาก 0% ถึง 80% ได้ในเวลาเพียง 46 นาที

เทคโนโลยีแชสซีที่ใช้ในการพัฒนาบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 ประกอบด้วยเพลาหน้าแบบปีกนกคู่ เพลาหลังแบบ five-link ช่วงล่างแบบปรับระดับได้ และระบบพวงมาลัยไฟฟ้าที่ปรับน้ำหนักตามความเร็วรถขณะขับขี่ (Servotronic) แปรผันตามการหมุนและความเร็ว มาพร้อมระบบช่วงล่างแบบถุงลมที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ระบบปรับองศาของล้อหลังเพื่อการเข้าโค้งหรือเลี้ยว (Integral Active Steering) และเบรกแบบสปอร์ตล้อ aerodynamic ขนาด 22 นิ้ว แบบสลับสี ขัดเงาสามมิติ เสริมด้วยยางล้อลดเสียงรบกวนที่มีชั้นโฟมบริเวณพื้นผิวด้านในเพื่อลดการเกิดเสียงได้รับการติดตั้งเป็นมาตรฐาน

อีกหนึ่งเอกลักษณ์ใหม่ที่ไม่ซ้ำใครของบีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 คือ ดีไซน์ภายนอกที่มีเส้นสายการออกแบบชัดเจนทรงพลัง แต่ยังคงความเรียบง่ายและบึกบึนสไตล์ SAV รายละเอียดขององค์ประกอบต่าง ๆ สื่อถึงความประณีตและความหรูหราล้ำยุค โดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่ที่เกือบปิดทึบ สะท้อนถึงนวัตกรรมการผลิตที่ล้ำสมัย ส่วนกล้องและเรดาร์เซนเซอร์ฝังอยู่ภายใต้พื้นผิวของกระจังหน้า โดดเด่นด้วยไฟหน้าและไฟท้ายที่เรียวยาวที่สุดของบีเอ็มดับเบิลยู มือจับประตูที่เปิดด้วยการกดปุ่ม หน้าต่างไร้ขอบ และประตูท้ายสอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวตั้งแต่หน้ารถจรดท้ายรถโดยไม่มีช่องว่าง

การออกแบบภายในห้องโดยสารมุ่งนำเสนอแนวคิดของการใช้ชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ พื้นที่กว้างขวางและเบาะที่นั่งแบบใหม่พร้อมพนักพิงศีรษะเสริมความหรูหรายิ่งขึ้น คอนโซลกลางมาในดีไซน์เฉียบไม่แพ้เฟอร์นิเจอร์หรู ปุ่มควบคุมระบบสัมผัสและระบบเปลี่ยนเกียร์แบบ rocker switch เติมเต็มความทันสมัยยิ่งขึ้นภายในห้องโดยสาร พร้อมเน้นย้ำถึงการออกแบบห้องโดยสารเพื่อผู้ขับขี่ด้วยจอ BMW Curved Display พวงมาลัยทรงหกเหลี่ยมและจอ Head-Up Display

ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมฟิลเตอร์นาโนไฟเบอร์กรองอากาศบริสุทธิ์ ควบคุมผ่านจอระบบสัมผัสแบบใหม่ ซึ่งใช้ควบคุมการหมุนเวียนของอากาศภายในห้องโดยสาร รวมถึงระบบทำความร้อนที่เบาะนั่งและพวงมาลัย มาพร้อมตัวเลือกอุปกรณ์เสริมคุณภาพเสียงทรงพลังยิ่งขึ้น อย่างระบบเสียงรอบทิศทางคุณภาพสูง Harman Kardon Surround Sound System ที่ฝังอยู่ในพนักพิงศีรษะ และระบบเสียงแบบ 4D ที่มีฟังก์ชั่นสั่นตามเสียงเบสในเบาะหน้า

 

บีเอ็มดับเบิลยู iX xDrive40 ยังมาพร้อมระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่และนวัตกรรมหลากหลายเหนือกว่ารถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูทุกรุ่น พร้อมเซนเซอร์เจเนอเรชั่นใหม่ ซอฟต์แวร์ใหม่ และแพลตฟอร์มในการประมวลผลที่ทรงพลังใช้กล้อง 5 ตัว เรดาร์เซนเซอร์อีก 5 ตัว และอัลตร้าโซนิกเซนเซอร์ 12 ตัวในการตรวจจับสภาพแวดล้อมรอบคัน ระบบเตือนขณะเปลี่ยนเลน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชั่น Stop & Go รวมถึงอีกสองระบบใหม่ล่าสุด เสริมการทำงานของระบบที่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานอย่างระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ รุ่น Plus (Parking Assistant Plus) ประกอบด้วยกล้องแสดงภาพรอบทิศทาง (Surround View Camera) แสดงภาพพื้นที่โดยรอบของรถให้เห็นแบบสามมิติผ่านระบบ Remote 3D พร้อมด้วยระบบ BMW Live Cockpit Professional และ BMW Intelligent Personal Assistant

ลูกค้าสามารถเลือกสีตัวถังได้ถึง 5 สไตล์ตามความต้องการ ได้แก่ Alpine White, Black Sapphire, Phytonic Blue, Sophisto Grey, Blue Ridge Mountain

 

บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition)

ราคาจำหน่าย: 2,259,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม แพ็คเกจบำรุงรักษา BSI Standard)

บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) อวดโฉมอันน่าตื่นตาตื่นใจด้วยเค้าโครงที่โฉบเฉี่ยวกว่าเคย พร้อมกระจกประตูข้างแบบไร้กรอบทั้ง 4 ประตู ไฟท้ายทรงเพรียวบางที่จัดเรียงตามแนวนอน แต่งด้วยผิวหน้าสีดำ High-gloss Black ที่เชื่อมไฟท้ายทั้งสองข้างเข้าหาสัญลักษณ์บีเอ็มดับเบิลยูตรงกลาง ยิ่งเสริมท้ายรถให้รับกับความหรูหราแบบสปอร์ตในทุกมุม ส่วนการออกแบบท้ายรถก็ยังคงมาดความสปอร์ตเช่นกัน ด้วยท่อไอเสียขนาดใหญ่ที่เสริมลุคให้บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) ดูปราดเปรียวทรงพลังยิ่งขึ้น ทั้งยังมีไฟหน้าและไฟท้าย LED ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ล้ออัลลอยน้ำหนักเบาขนาด 18 นิ้ว ในลาย Double-Spoke และชุดแต่ง M Performance ที่ประกอบด้วยกระจังหน้าทรงไตคู่แบบ M Performance ในดีไซน์ตาข่ายสีดำเงา ฝาครอบกระจกมองข้างแบบคาร์บอน สปอยเลอร์ด้านท้าย และไฟส่องพื้นประตูรถแบบ LED

ภายในห้องโดยสารของบีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) ที่แสดงข้อมูลสำคัญในการขับขี่ให้ผู้ขับได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องละสายตาจากถนนผ่านระบบหน้าจอดิจิทัล Instrument Cluster ขนาด 10.25 นิ้ว รวมไปถึงจอสัมผัส Control Display ความละเอียดสูง ขนาด 10.25 นิ้ว ที่ตั้งอยู่กลางคอนโซล ทำมุมเข้าหาคนขับเล็กน้อยตามแบบฉบับของบีเอ็มดับเบิลยู ระบบปรับอากาศอัตโนมัติพร้อมแผ่นกรองอากาศระดับอนุภาคช่วยให้การเดินทางสะดวกสบายยิ่งขึ้นสำหรับทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร ในขณะที่ระบบชาร์จอุปกรณ์ภายในรถก็ปรับมาใช้เป็นแบบช่องเสียบ USB Type C ให้เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน

บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) มาพร้อมระบบ BMW Live Cockpit Professional บนระบบปฏิบัติการ BMW Operating System 7 ที่สามารถแสดงข้อมูลต่างๆ ได้แบบเรียลไทม์ผ่านวิดเจ็ตที่ปรับเปลี่ยนการแสดงผลและตั้งค่าได้ตามความต้องการของผู้ขับขี่ ในขณะเดียวกัน ฟีเจอร์ Remote Software Upgrades ยังช่วยติดตั้งและอัปเกรดฟังก์ชันและบริการดิจิทัลใหม่ ๆ ได้แบบไร้สาย ด้านเทคโนโลยีสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับระบบอัตโนมัติรุ่นล่าสุด มาพร้อมระบบสั่งการด้วยเสียงผ่านระบบผู้ช่วยส่วนตัว BMW Intelligent Personal Assistant ที่เรียกใช้งานได้เพียงพูดว่า “Hey BMW” นอกจากนี้ แอปพลิเคชัน My BMW App ยังช่วยให้ผู้ขับสามารถสั่งการ ตรวจสอบสถานะของรถยนต์ และส่งข้อมูลจุดหมายปลายทางไปยังรถยนต์ได้โดยตรงผ่านสมาร์ทโฟน ทั้งยังเข้าถึงบริการดิจิทัลอื่น ๆ ของ BMW ConnectedDrive Store ไม่ว่าจะเป็น ระบบ Apple CarPlay หรือระบบแสดงข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ (RTTI) ส่วนการอัปเดทแผนที่นำทางผ่าน USB ผ่านแอปพลิเคชัน My BMW App ได้เช่นเดียวกัน

บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) ยังพกเอาความสนุกเร้าใจในการขับขี่มาพร้อมกับความสะดวกสบายในทุกรายละเอียด ทั้งระบบควบคุมความเร็วคงที่ พร้อมฟังก์ชั่นจำกัดความเร็ว และรูปแบบการขับขี่ที่มีโหมดให้เลือกทั้ง ECO PRO, Comfort, และ Sport  ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อมฟังก์ชัน hold อัตโนมัติขณะรถหยุดนิ่ง ช่วยลดภาระในการขับขี่ได้แม้ในสภาวะจราจรติดขัด ในขณะเดียวกัน ระบบช่วยนำรถเข้าที่จอดอัตโนมัติ พร้อมกล้องแสดงภาพด้านหลัง ช่วยให้การจอดรถเทียบขนานและออกจากที่จอดรถที่ขนานไปกับถนนเป็นไปอย่างง่ายดาย บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) ยังมาพร้อมกับระบบช่วยถอยรถย้อนกลับในเส้นทางเดิมได้ไกลสูงสุดถึง 50 เมตร

บีเอ็มดับเบิลยู 220i Gran Coupe (M Performance Edition) ส่งพลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร เทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo ทำงานควบคู่เกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ Steptronic แบบคลัทช์คู่ ให้กำลังสูงสุด 141 กิโลวัตต์ / 192 แรงม้า พร้อมมอบแรงบิดสูงสุด 280 นิวตันเมตร ที่ 1,350-4,600 รอบต่อนาที ส่งให้ตัวรถเร่งความเร็วจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงภายใน 7.1 วินาที และมีความเร็วสูงสุดที่ 238 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

 

บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ใหม่ (สีดำ Black Storm Metallic)

ราคาจำหน่าย 1,099,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 ใหม่ (สีแดง Mars Red Metallic และสี Manhattan Metallic Matte)

ราคาจำหน่าย 1,114,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic ใหม่ (สีดำ Black Storm Metallic)

ราคาจำหน่าย 1,209,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic ใหม่ (สีแดง Mars Red Metallic และสี Manhattan Metallic Matte)

ราคาจำหน่าย 1,224,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)

  

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ที่สื่อถึงแก่นแท้ของมอเตอร์ไซค์ในแบบดั้งเดิม การออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์ต้นกำเนิดของแบรนด์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด จึงมอบกลิ่นอายความคลาสสิกได้อย่างถึงอารมณ์ด้วยชิ้นส่วนแฮนด์เมดต่าง ๆ ที่ล้วนตอกย้ำถึงความเรียบง่ายที่ยังคงตอบโจทย์การใช้งานในทุกองค์ประกอบ สัดส่วนที่ลงตัวของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 ยังได้รับแรงบันดาลใจจากมอเตอร์ไซค์คลาสสิกรุ่นพี่อย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 ถ่ายทอดออกมาเป็นเอกลักษณ์ความงามที่ก้าวข้ามกาลเวลาด้วยดีไซน์เปลือยสะกดสายตา บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic พาเหล่าไบค์เกอร์หวนกลับสู่จุดเริ่มต้นสุดคลาสสิกของมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งครูสเซอร์ ด้วยสไตล์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากบีเอ็มดับเบิลยู R 18 มาพร้อมกับอุปกรณ์เพิ่มเติมอย่างกระจกบังลมขนาดใหญ่ เบาะผู้โดยสาร กระเป๋าข้าง ไฟหน้า LED เสริม และล้อหน้าขนาด 16 นิ้ว ส่วน R 18 มาพร้อมล้อหน้าขนาด 19 นิ้ว

   

      

หัวใจหลักของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 และ R 18 Classic คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบขนาดใหญ่ระบายความร้อนด้วยอากาศและน้ำมันซึ่งได้รับการพัฒนาใหม่ให้ทรงพลังทั้งในด้านดีไซน์และประสิทธิภาพ โดยเครื่องยนต์ 1,802 ซีซีนี้มอบพละกำลังที่เหนือกว่าด้วยกำลังขับสูงสุด 67 กิโลวัตต์ / 91 แรงม้า ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิดสูงสุด 158 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที และส่งแรงบิดมากกว่า 150 นิวตันเมตรในระหว่าง 2,000 ถึง 4,000 รอบต่อนาทีได้ตลอดเวลา

          

บีเอ็มดับเบิลยู R 18 และ R 18 Classic ยังพิเศษด้วยโหมดการขับขี่ที่เหนือระดับกว่ารุ่นอื่น ๆ ในเซกเมนต์เดียวกัน มาพร้อม 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock” ให้เลือกปรับตามความชอบเฉพาะตัว พร้อมเทคโนโลยีด้านการขับขี่ที่ครบครันมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมความปลอดภัยด้วยฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมระบบล็อก ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) และระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ทั้งสองรุ่นยังผสานความล้ำสมัยจากยุคปัจจุบันไว้ด้วยเทคโนโลยี เช่น ระบบสตาร์ทแบบไร้กุญแจ (Keyless Ride) ระบบเกียร์ถอยหลัง (Reverse Gear) ระบบสัญญาณกันขโมย ระบบป้องกันรถกระชาก (Anti-hopping Clutch) และระบบ Dynamic Brake Control นอกจากนี้ บีเอ็มดับเบิลยู
R 18 Classic ยังพกพาระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ (Electronic cruise control) มาเป็นมาตรฐานอีกด้วย

ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 และ R 18 Classic ยังคงความคลาสสิกด้วยการใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิกแทนการควบคุมด้วยไฟฟ้า โดยมีคานรับน้ำหนักกลางที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อการควบคุมที่เฉียบคมและนุ่มสบาย ระยะยุบตัวโช้คหน้า 120 มิลลิเมตร และระยะยุบตัวโช้คหลัง 90 มิลลิเมตร ระบบเบรกมาพร้อมดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า ดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง และคาลิปเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ พร้อมล้อซี่ลวดที่เสริมลุคให้สะดุดตายิ่งขึ้น ทั้งสองรุ่นมีให้เลือกทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีดำ Black Storm Metallic สีแดง Mars Red Metallic และ สี Manhattan Metallic Matte

 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS ใหม่ (สีดำ Triple Black)
ราคาจำหน่าย 1,035,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS ใหม่ (สี Rally – สีขาว น้ำเงิน แดง)   
ราคาจำหน่าย 1,055,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ใหม่ (สีดำ Triple Black)   
ราคาจำหน่าย 1,150,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ใหม่ (สี Rally – สีขาว น้ำเงิน แดง)   
ราคาจำหน่าย 1,170,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 

 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS  ใหม่   

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS และบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ใหม่ สานต่อเอกลักษณ์ความทรงพลัง ผสานกับสมรรถนะการควบคุมที่ยอดเยี่ยม ตอบโจทย์นักผจญภัยที่ต้องการท่องโลกกว้างทุกรูปแบบ ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ลูกสูบนอน 2 สูบ ขนาด 1,254 ซีซี ระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลว เติมเต็มสมรรถนะเครื่องยนต์ด้วยเทคโนโลยี BMW ShiftCam ที่เสริมความสมดุลของเพลา ลูกเบี้ยวและจังหวะการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งสองรุ่นให้พละกำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์ / 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที ส่วนระบบหัวฉีดคู่และระบบไอเสียใหม่ ผ่านการรับรองมาตรฐาน EU-5 ที่เน้นประหยัดเชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ

โหมดการขับขี่ติดตั้งมาเป็นมาตรฐานสามแบบคือ ‘ECO’, ‘Rain’ และ ‘Road’ เพิ่มโหมดการขับขี่แบบโปร (Riding Modes Pro) คือ  ‘Dynamic’, ‘Dynamic Pro’, ‘Enduro’ และ ‘Enduro Pro’ นอกจากนั้น Dynamic ESA (Electronic Suspension Adjustment) ช่วยปรับช่วงล่างด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมปรับระดับโหลดอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่และให้สมรรถนะสูงสุด ระบบ Hill Start Control Pro ช่วยออกตัวในทางลาดชัน เพิ่มความปลอดภัยทุกการเข้าโค้งด้วยระบบ Dynamic Traction Control และ ABS Pro ที่ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนระบบ Dynamic Brake Control หรือ DBC ช่วยให้เบรคหลังทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการตัดกำลังของเครื่องยนต์เมื่อเบรคในสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้รถยังบังคับและควบคุมได้
ในทุกสภาวะการขับขี่

 

บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ใหม่

ไม่พลาดทุกการเชื่อมต่อกับจอแสดงผลสีแบบ TFT ขนาด 6.5 นิ้ว ที่ติดตั้งมาในรถมอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นกับ BMW Motorrad Multi-Controller ทำให้เข้าถึงการทำงานของรถและการเชื่อมต่อได้สะดวกยิ่งขึ้น และยังมีช่องเสียบสายชาร์จแบบ USB สำหรับการชาร์จสมาร์ทโฟนแบบ fast charge อีกด้วย

สำหรับเส้นสายในการดีไซน์ของทั้งสองรุ่น ตอกย้ำถึงเอกลักษณ์อันดุดันของมอเตอร์ไซค์สายผจญภัยในตระกูล GS โดดเด่นด้วยไฟหน้า LED สะดุดตา มาพร้อมกับไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน ในขณะที่ไฟหน้าแบบปรับระดับเอียงตามองศาของรถเมื่อเข้าโค้ง บีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS ในสี Rally มาพร้อมล้อซี่ลวดสีทอง ในขณะที่ตัวเลือกสีดำ Triple Black มาพร้อมล้อซี่ลวดสีดำ สะท้อนความแข็งแกร่งทนทานสไตล์ออฟโร้ด ส่วนบีเอ็มดับเบิลยู R 1250 GS Adventure ในสี Rally มากับล้อซี่ลวดสีทองเช่นเดียวกัน

 

Most Popular

To Top