ภาครัฐให้ความสำคัญในการผลักดั
ปัจจุบันมียานยนต์จำหน่ายทั่
สำหรับประเทศไทย ซึ่งเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่
· ระยะสั้น (2020-2022) ผลิตรถสำหรับรถราชการ รถสาธารณะ รถจักรยานยนต์สาธารณะ 60,000-110,000 คัน
· ระยะกลาง (2021-2025) จะผลักดัน ECO EV จำนวน 100,000-250,000 คัน และผลักดันสมาร์ท ซิตี้ บัส จำนวน 300,000 คัน
· ระยะยาว (2026-2030) ให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าประมาณ 750,000 คัน
พร้อมกันนี้ กระทรวงอุตสาหกรรมยังได้หารือร่
ด้านโครงสร้างพื้นฐานได้รองรั
บทสรุปสัมมนา “New Generation of Automotive” โดยตัวแทนจากทั้งภาครัฐ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน
มร. จาง ไห่โป กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเอไอซี มอเตอร์-ซีพี จำกัด และบริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
- นิยามของ New Generation of Automotive ในมุมของเอ็มจี ประกอบด้วย 3 ประเด็นสำคัญ คือ ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ระบบไร้คนขับ และพลังงานทางเลือก สำหรับ SAIC Motor ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของเอ็มจี ถือเป็นหนึ่งในผู้นำทางด้
านเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าลำดับต้ นๆ ของโลกที่พัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง - สำหรับประเทศไทยเราทำตลาดด้
วยแบรนด์เอ็มจี โดยเราถือเป็นผู้จุดประกายให้ เกิดกระแสยานยนต์ไฟฟ้าในสั งคมไทยด้วยการเปิดตัว MG ZS EV ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ที่สามารถตอบสนองความต้ องการของคนรุ่นใหม่ด้วยคอนเซ็ ปต์ “EASY” ที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่าย ดูแลรักษาได้ง่าย ใช้งาน ได้ง่าย เมื่อปีที่ผ่านมา - และในปีนี้ เอ็มจีได้เดินหน้าสร้างระบบนิ
เวศรถยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่องด้ วยการลงทุนติดตั้งจุดชาร์จในรู ปแบบ DC โดยภายในปีนี้ จะมีจุดชาร์จจำนวน 100 แห่งในโชว์รูมและศูนย์บริการเอ็ มจีทั่วประเทศ และวางแผนในการขยายจุดชาร์จเพิ่ มอีก 1 เท่าตัวภายในปีหน้า ส่วนแผนงานในระยะที่ 2 ในการเพิ่มจำนวนสถานีชาร์จให้ มากขึ้น จะเลือกสถานีที่อยู่เส้นทางหลั กตามทางหลวง และแผนงานในระยะที่ 3 จะเพิ่มสถานีชาร์จที่ศูนย์การค้ า ออฟฟิศ หมู่บ้าน ที่พักอาศัย นอกจากนี้ ยังมีแผนนำรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ รวมทั้งรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอิ นไฮบริดเข้ามาทำตลาดอีกด้วย โดยเอ็มจีมุ่งหวังให้เกิดการบู รณาการและพร้อมที่จะสนับสนุ นความร่วมมือกับทุกหน่วยงานที่ เกี่ยวข้อง เพื่อให้สังคมยานยนต์ไฟฟ้ าไทยเติบโตมากขึ้น พร้อมนำเสนอให้รัฐบาลช่วยผลักดั นเรื่องสิทธิพิเศษด้านภาษี หรือการลงทุน รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษให้กับผู้ ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริ
- ในปี พ.ศ. 2560 BOI เตรียมการลงทุนเรื่
องนโยบายการลงทุนรถยนต์พลั งงานไฟฟ้า ครอบคลุมทุกเรื่องการผลิต ความต้องการตลาด การส่งเสริมการลงทุน การสร้างสถานีชาร์จ รถยนต์ใช้ส่วนบุคคล รถยนต์สาธารณะ และชิ้นส่วน ในปัจจุบัน มีผู้เข้ามาลงทุนในส่ วนของรถยนต์พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด 16 บริษัท รวม 26 โครงการ โดยมีการขอส่งเสริมการลงทุ นในการผลิตรถยนต์ ประเภทไฮบริด (HEV) ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) รวมถึงรถพลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) และมียอดการผลิตรวมกันกว่า 560,000 คัน เรากำลังพิจารณาส่งเสริมการลงทุ นเพิ่มเติมในส่วนของสามล้อไฟฟ้า และรถจักรยานยนต์ที่ใช้พลั งงานไฟฟ้า ที่มีแผนการเปิดโครงการในช่ วงการประชุมคณะกรรมการบีโอไอครั้ งต่อไป - สำหรับประเทศไทย BOI มองว่า เราต้องมีขีดความสามารถในการสร้
างการรับรู้เรื่องนวัตกรรม ต่อยอดสู่การพัฒนาให้ได้ เราต้องเข้าใจบริบทของความต้ องการ เพราะประเทศเราเป็นฐานการผลิ ตรถยนต์ประเภทสันดาปภายในมานาน ดังนั้น เราต้องรีบศึกษาเพื่อจะผันตั วเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ พลังงานไฟฟ้า ฉะนั้น เราต้องปรับตัวให้ได้และให้ทัน ทั้งเรื่องเครื่องมือ (Supply) และการขยายตลาด (Demand) ต้องดูเรื่องผู้ผลิตและผู้ใช้ งานมีความพร้อมหรือไม่ ซึ่งจากแผน 30@30 เราต้องคิดกลยุทธ์เพื่อให้เกิ ดการลงทุนที่มากขึ้น อาทิ การผลิตรถบัสพลังงานไฟฟ้า เพื่อการใช้งานขนส่งสาธารณะ ซึ่งเป็นถือเป็นจำนวนการผลิตที่ ค่อนข้างสูง
นายเสกสรร เสริมพงศ์ รองผู้ว่าการวางแผนและพั
- การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค รับผิดชอบพื้นที่ครอบคลุม 74 จังหวัด โดยในปัจจุบัน เรามีการสร้างสถานีอัดประจุไฟฟ้
าสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ทั้งหมด 11 แห่ง นอกจากนี้ เรายังมีแผนในการทำสถานีร่วมกั บบางจาก เพิ่มอีก 62 จุด แบ่งเป็นสถานีปั๊มน้ำมันบางจาก 56 จุด และส่วนพื้นที่ของการไฟฟ้าส่ วนภูมิภาคอีก 6 จุด โดยจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ของ ปี พ.ศ. 2564 และในระยะถัดไป ระหว่างปี พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2565 เราจะดำเนินการสร้างสถานีอั ดประจุไฟฟ้าอีก 64 จุด ทำให้ในปี พ.ศ. 2565 ทางการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 137 จุด ซึ่งจะครอบคลุมพื้นที่ 75 จังหวัด (รวมกรุงเทพมหานคร) - สำหรับต้นทุนในการสร้างสถานีอั
ดประจุไฟฟ้า เฉลี่ย 2.5 ล้านบาท ต่อหนึ่งแท่นชาร์จ
นายพรศักดิ์ อุดมทรัพยากุล ผู้ช่วยผู้ว่าการวางแผนและพั
- ส่วนงานของการไฟฟ้านครหลวง ครอบคลุมพื้นที่ใน 3 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ ในปัจจุบัน เรามีสถานีอัดประจุไฟฟ้า 10 จุด จำนวน 15 แท่นชาร์จ โดยมีแผนการขยายสถานีอัดประจุ
ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นอีก 118 จุด รวมเป็น 128 จุด ภายในปี พ.ศ. 2565 พร้อมทั้งมีการพัฒนาแอพพลิเคชั่ น ในการค้นหาสถานีชาร์จไฟฟ้าทั้ งประเทศ และสามารถจองแท่นชาร์จก่อนเข้ ารับบริการได้ในเชิงนโยบายนั้น ทางการไฟฟ้านครหลวงได้มีการเร่ งดำเนินการขยายสถานีชาร์จอย่ างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ เราจะส่งเสริมให้ผู้บริโภคเข้ าใจในการใช้งานรถยนต์พลั งงานไฟฟ้าในชีวิตประจำวัน หากไม่ได้ออกนอกบริเวณจังหวัดที่ ใกล้เคียง รถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในปัจจุบันมีระยะทางวิ่งมากกว่า 200 กิโลเมตร ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งาน สะดวกต่อการชาร์จพลังงานไฟฟ้าที่ ที่พักอาศัยของผู้ใช้งาน
นายพิสิฐ รังสฤษฎ์วุฒิกุล ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์
- สถาบันยานยนต์เป็นหน่วยงานที่
ทำหน้าที่เป็นกลไกของภาครัฐเพื่ อสนับสนุนให้กับกระทรวงอุ ตสาหกรรม มีพันธกิจในเรื่องของการศึกษาวิ จัยในด้านเทคโนโลยียานยนต์ร่ วมกับทั้งทางภาครัฐและเอกชน รวมถึงการพัฒนาบุคลากรในแวดวงอุ ตสาหกรรมยานยนต์ ฝึกอบรม ศูนย์ทดสอบ ตามมาตรฐาน มอก. และตามมาตรฐานต่างประเทศด้วย ปัจจุบันสถาบันยานยนต์มีที่ตั้ง 3 แห่ง ประกอบด้วย กล้วยน้ำไท ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางข้อมูล นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ ทำหน้าที่ทดสอบเรื่องมลพิษ และสนามไชยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ทำหน้าที่ทดสอบด้าน EV ทั้งรถยนต์ไฟฟ้าและรถจั กรยานยนต์ไฟฟ้า สำหรับ ศูนย์ทดสอบสนามไชยเขต คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงเดือนตุ ลาคม-พฤศจิกายนนี้ - ในส่วนของเครื่องมือที่จำเป็นต่
อการทดสอบ ในปี พ.ศ. 2562 ทางสถาบันฯ ได้รับอุปกรณ์มาแล้วทั้งสิ้น 5 ชิ้น เป็นเครื่องทดสอบความแข็งแรง การชาร์จไฟ การปล่อยประจุเกิน การทนต่ออุณหภูมิ ไฟรั่วหรือไฟฟ้าลัดวงจร ส่วนอุปกรณ์อีก 4 ชิ้น จะเป็นงบประมาณของปี พ.ศ. 2563 ซึ่งจะทำให้ทางสถาบันฯ มีเครื่องมือในการทดสอบรวมทั้ งสิ้น 9 เครื่อง ในส่วนงานด้านบุคลากร เรากำลังจะมีการทำ MoU กับทางศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้ าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC)
ดร. ไกรสร อัญชลีวรพันธุ์ ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์
- ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิ
เล็กทรอนิกส์ นับได้ว่าเป็น Think Tank ในด้านการทำ R&D เพราะการวิจัยที่ดีจะทำให้ ประเทศสามารถพัฒนาไปได้ไกล ในอนาคตเราได้มีการจั ดทำมาตรฐานแกนการขับเคลื่อนอุ ตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่ องของแบตเตอรี่ Charging Station ในด้านของการกำหนดมาตรฐานเราใช้ IEC & ISO เป็นตัวกำหนด และมีการพัฒนาระบบยานยนต์ รวมถึงระบบช่วยขับขี่ ADAS ที่มีการใช้มากขึ้น เราต้องการให้มีมาตรฐานของเครื่ องชาร์จ หัวชาร์จ แบตเตอรี่ แท่นชาร์จ และหัวใจสำคัญของยานยนต์ไฟฟ้ าอย่างแบตเตอรี่ เพราะฉะนั้นมาตรฐานในเรื่องนี้ จึงสำคัญมาก - PTEC จะเป็นฝ่ายดูแลและควบคุมเรื่
องแบตเตอรี่ผ่านขั้นตอนการทำ Lab Test ที่เป็นมาตรฐานบังคับรวมไปถึ งการนำ Cell Battery ที่มีโมดูลและวงจรควบคุ มแบตเตอรี่ (Battery Management System) ในการจัดการและควบคุมประจุ ของแบตเตอรี่ การวิจัยเรื่องการปล่อยประจุ ไฟฟ้า และการชาร์จไฟฟ้า ทั้งในรูปแบบ AC และ DC การตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงอุณหภู มิ และการระบายความร้อนของแบตเตอรี่ - ในด้านการทดสอบเราทดสอบตั้งแต่
เรื่องอุณหภูมิแบตเตอรี่ขณะขั บขี่ ระบบระบายความร้อนการสั่นสะเทื อนขณะขับขี่ ระบบความปลอดภัย และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิ ภาพและคุณภาพการขับขี่ ในประเทศไทย นอกจากนี้ เรากำลังดำเนินการสร้าง Lab ทดสอบ ที่สามารถนำรถบัส 2 ชั้นที่ขับเคลื่อนด้วยพลั งงานไฟฟ้าและมีเป็นยานยนต์อั ตโนมัติ ไร้คนขับ พร้อมทั้งทดสอบโครงสร้างที่น้ำ หนักเบา และรูปแบบต่างๆ รวมทั้งการควบคุมเรื่องความถี่ ของรถที่จะไม่ กวนการทำงานของเครื่องยนต์หรือ ซอฟต์แวร์ อื่นๆ - ทั้งนี้ PTEC มองว่าประเทศไทย อุตสาหกรรมยานยนต์ของเราไม่ได้
มีความห่างชั้นกับประเทศเพื่ อนบ้าน เพราะเรามีศักยภาพที่ค่อนข้ างพร้อม และประเทศไทยก็ยังเป็นศูนย์ การผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดเป็ นอับดับ 2 ของภูมิภาคอาเซียน และส่วนสำคัญที่จะเร่งการพั ฒนาของประเทศไปอีกขั้น คือ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีที่ โดดเด่นจากประเทศอื่นๆ เข้ามาปรับใช้ในเมืองไทย หากเราได้เรียนรู้นวัตกรรมใหม่ๆ ก็จะสามารถทำให้เกิดการพัฒนาได้ อย่างรวดเร็วมากขึ้น
