รีวิวรถ

Eco car 7 รุ่นน่าใช้ปี 2021

Eco Car เป็นชื่อเรียกอย่างย่อจากคำว่า Ecology Car คือ รถยนต์รักษาสิ่งแวดล้อม ต้องปฏิบัติตามกฏที่ผ่านการรับรองว่า ว่าเป็นรถ Eco car ได้แก่ ความประหยัดน้ำมัน การรักษาสิ่งแวดล้อม มาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ความเหมาะสมต่อการใช้งาน

1. Mazda 2 ราคาเริ่มต้น 546,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร

           Mazda2 ยกระดับความคุ้มค่ากับออพชั่นที่เกินราคา อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำ ขับสนุก และปลอดภัยยิ่งขึ้น ดีไซน์เรียบหรูสง่างามดุจงานศิลปะชิ้นเอก ตามแนวคิด Kodo Design (โคโดะ ดีไซน์) ที่เรียบง่าย แต่งดงามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ได้อย่างลงตัว ภายในห้องโดยสาร ออกแบบจัดวางอย่างเหมาะสม กับการใช้งานของมนุษย์เป็นหลัก ตาม Concept – HMI (Human Machine Interface) ได้แก่ หน้าจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ Active Driving Display และ Center Commander จัดวางอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัว, Mazda Connect ที่รองรับทั้ง Apple CarPlay® และ Android Auto™ เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน โดยแสดงข้อมูลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รวมถึงระบบ Infotainment ที่มีให้เลือกมากมาย จัดเต็มกับระบบความปลอดภัยสุดล้ำ i-Activsense และยังมาพร้อมระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย (Sport Paddle Shift) และกล้องมองหลัง รวมถึงระบบช่วยประหยัดน้ำมัน i-STOP และประหยัดพลังงาน i-ELOOP เพิ่มการขับขี่ไร้กังวลที่ทั้งประหยัดและปลอดภัย เครื่องยนต์เบนซิน SKYACTIV-G 1,300 ซีซี แถวเรียง 4 สูบ 16 วาล์ว ให้แรงม้าสูงสุดที่ 5,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดอยู่ที่ 123 นิวตัน-เมตร มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ Skyactiv-Drive 6 สปีด พร้อมแมนนวลโหมด Activematic ประหยัดน้ำมันถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

2. Suzuki Swift ราคาเริ่มต้น 557,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23 กม./ลิตร

          Suzuki Swift เป็นรถอีโคคาร์อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยม เพราะด้วยหน้าตาและราคาที่เข้าถึงได้ง่าย ด้วยการตกแต่งแนวสปอร์ต ด้วยชุดแต่งใหม่รอบคัน ส่วนเครื่องยนต์ และฟังก์ชั่นมาตรฐานคงเดิม ระจังหน้าตกแต่งโครเมี่ยมแบบใหม่ และล้ออะลูมิเนียมอัลลอยปัดเงาใหม่ขนาด 16 นิ้ว พร้อมไฟหน้า LED Projector ปรับสูงต่ำได้ และไฟท้าย LED รุ่นล่างอย่าง GL เพิ่มกระจกมองข้างไฟฟ้า Keyless Push Start ภายใน จอระบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุ MP3 และ WMA พร้อมระบบเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน รองรับ Apple CarPlay และ Android Auto พร้อมกล้องมองหลังวัสดุตกแต่งคอนโซลและแผงประตูหน้าสีเทาเงิน และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ ใช้เครื่องยนต์เดียวกัน คือเครื่องยนต์เบนซิน รหัส K12M 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร กำลังสูงสุด 83 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 108 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ใช้เทคโนโลยีหัวฉีดคู่หรือ DUALJET เพิ่มประสิทธิภาพด้วยระบบหัวฉีดคู่ที่จัดวางไว้ใกล้กับห้องเผาไหม้ของเครื่องยนต์ และทำงานโดยฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปที่กระบอกสูบพร้อมกันทั้ง 2 หัวฉีด ทำให้น้ำมันมีละอองที่ละเอียดขึ้น อัดฉีดน้ำมันได้แม่นยำ และเป็นการลดอุณหภูมิในกระบอกสูบพร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาไหม้ นอกจากนี้เครื่องยนต์ DUALJET ยังมีระบบ EGR ที่ลดอุณหภูมิในห้องเผาไหม้ ระบายความร้อนแก๊สไอเสียด้วยน้ำและหมุนวนเข้าท่อร่วมไอดี เป็นการลดการเผาไหม้ที่ผิดปกติ ทำให้ประสิทธิภาพของเครื่องยนต์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประหยัดน้ำมันได้มากถึง 23 กม./ลิตร รองรับน้ำมันสูงสุด E20

3. Nissan Almera ราคาเริ่มต้น 509,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร

           Nissan Almera ใหม่ ดีกว่ารุ่นเดิมในหลายๆ ด้าน ตั้งแต่หน้าตาการดีไซน์ภายนอก ต้องบอกว่าใหม่หมดจดตั้งแต่หัวจรดท้าย มิติภายนอกดูใหญ่โตมากกว่ารุ่นเดิม ทั้งความกว้างของตัวถังมากขึ้น 45 มม. ฐานล้อยาวขึ้น 20 มม. และลดความสูงลง 40 มม. รูปโฉมด้านหน้าโดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ V-Motion ไฟหน้าทรงบูมเมอแรง แบบ LED พร้อม LED Signature Light เพิ่มเอกลักษณ์เฉพาะรุ่น ด้านข้างตัวถังมีความยาวกว่ารุ่นเดิม 70 มม.เน้นการดีไซน์ที่โค้งมนตัดกับเส้นสายที่โฉบเฉี่ยว พร้อมติดตั้งล้ออัลลอยลายสวยเรียบขนาด 15 นิ้ว ประกบกับยางหน้ากว้าง ขณะที่ด้านท้ายรถเด่นที่เสาด้านหลังถูกออกแบบเสมือนหลังคาลอยตัว ช่วยเติมเต็มรูปลักษณ์ให้สง่างามยิ่งขึ้น ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่พร้อมอัดออฟชั่นมากกว่าทุกรุ่น การตกแต่งเด่นที่ภายในสีทูโทนสีดำตัดกับสีครีม และเสริมด้วยวัสดุตกแต่งคอนโซลกลางสีเปียโนแบล็ค และวัสดุสีเงิน เพิ่มความสปอร์ต และหรูหรา คอนโซลกลางติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี NissanConnect บนหน้าจอแสดงผลแบบใหม่ พร้อมลำโพงคุณภาพดี 6 จุด ระบบเชื่อมต่อ Apple CarPlay ในโซนควบคุมรถชอบมากกับพวงมาลัย 3 ก้านรูปทรงสปอร์ต แบบ D-Shape จับถนัดมือ สามารถปรับสูงต่ำได้ตามสรีระ เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรที่ให้การตอบสนองที่ดี ทำให้ อัลเมร่า ใหม่ นี้ชัดเจนในตัวตนที่ยังคงเป็นรถ Eco Car แต่ให้การขับขี่เทียบเท่ารถเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ตอบโจทย์การใช้งานได้ดีทั้งนอกเมือง และในเมือง เหมาะสำหรับวัยทำงาน และทุกๆวัย ที่ต้องการความสนุกในการขับขี่ อีกทั้งยังเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ซึ่งขับทางไกล และที่สำคัญ ยังได้เทคโนโลยีความปลอดภัยที่มากกว่าคู่แข่งอีกด้วยครับ เช่น ระบบเตือนก่อนชนด้านหน้า ระบบเบรกฉุกเฉิน ระบบกล้อง 360 องศา ระบบเตือนรถในจุดอับกระจกมองข้างและระบบตรวจจับวัตถุด้านหลังรถ

4. Suzuki Claz ราคาเริ่มต้น 523,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 20 กม./ลิตร

          New Suzuki Ciaz เวอร์ชั่นปรับโฉม 2020 มาภายใต้คอนเซปต์ สัมผัสใหม่ สบายทุกมิติ รูปลักษณ์ภายนอกแบบสปอร์ตซีดาน เป็นรถอีโอคาร์ที่มีมิติตัวถังค่อนข้างใหญ่ ตัวถังภายนอกออกแบบตามหลักแอโรไดนามิก ลดแรงเสียดทานของกระแสลม เพิ่มสมรรถนะการขับขี่และประหยัดน้ำมัน กระจังหน้าใหม่ ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ LED พร้อมไฟหรี่แบบ LED  ชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน สปอยเลอร์หลังไดนามิก ไฟท้ายใหม่ ตกแต่งภายในใหม่ คอนโซลหน้าออกแบบให้เพิ่มมิติความกว้างของห้องโดยสาร พวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียงและสั่งการโทรศัพท์บนพวงมาลัย มาตรวัดสไตล์สปอร์ต Suzuki Smart Connect ระบบเชื่อมความบันเทิงติดตั้งจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว พร้อมฟังก์ชั่นเชื่อมต่อ Bluetooth และระบบนำทางเนวิเกเตอร์ รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน Apple CarPlay ช่องเชื่อมต่อ AUX / USB / SD Card ลำโพง 6 ตำแหน่ง เบาะหนังคุณภาพดี ออกแบบให้โอบกระชับรับกับสรีระ ช่องปรับอากาศสำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ช่องวางแก้ว 8 ตำแหน่ง พื้นที่เก็บสัมภาระท้ายรถความจุ 565 ลิตร วางเครื่องยนต์ตัวเล็กที่ประหยัดเชื้อเพลิง เป็นเครื่องยนต์เบนซินแถวเรียง 4 สูบ ปริมาตรความจุ 1.2 ลิตร ขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง K12B ที่ใหญ่กว่าเครื่องรถตัดหญ้านิดเดียว ทำให้สมรรถนะของเครื่องยนต์ออกมาในแนวประหยัด มากกว่าจะเอามาหวดกันเร็วๆ บนไฮเวย์

5. Toyota Yaris ราคาเริ่มต้น 549,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร

          Toyota Yaris ได้รับการออกแบบตามหลัก Aerodynamics แรงเสียดทานต่ำ เน้นความสปอร์ต เอาใจคนรุ่นใหม่ หลังคาลดการปะทะของแรงลม และเสาอากาศแบบครีบฉลามทำให้ดูเร้าใจมากยิ่งขึ้น บริเวณด้านหน้าสะดุดตาด้วยกระจังหน้าโครเมียมดำ และไฟหน้าโปรเจกเตอร์ เปิด-ปิดอัตโนมัติ ที่ผสานเข้ากับไฟท้าย LED Light Guiding ได้เป็นอย่างดี ส่วนล้ออัลลอยปัดเงา สีทูโทน ขนาด 15 นิ้ว ให้อารมณ์สปอร์ตมากขึ้น เครื่องยนต์ขนาด 1.2 ลิตร ที่โดดเด่นด้วยสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งการดีไซด์ภายนอกและภายใน อุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ให้มาอย่างครบครัน ซึ่งไม่เพียงแค่รุ่นมาตรฐานเท่านั้น ภายในของ Toyota Yaris ได้รับการตกแต่งด้วยโทนสีดำให้ความรู้สึกสปอร์ต กว้างขวางเพียงพอสำหรับใช้งานในเมือง เพราะขนาดมิติตัวถัง ยาวถึง 4,145 มม. กว้าง 1,730 มม. และสูง 1,500 มม. ระยะฐานล้ออยู่ที่ 2,550 มม. ส่วนเบาะนั่งด้านหลังสามารถปรับและพับได้แบบ 60:40 (ยกเว้นรุ่น Entry) เพิ่มพื้นที่สัมภาระได้ตามต้องการ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอำนวยความสะดวกอีกมากมาย อาทิ ระบบ Smart Entry และ Push Start, หน้าจอสัมผัสขนาด 6.7 นิ้ว รองรับระบบ Smart Device Link  เครื่องเสียงวิทยุ AM/FM พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX, ระบบเชื่อมต่อด้วยบลทูธ รองรับโทรศัพท์และการเล่นเพลง ลำโพง 6 ตัว สมรรถนะของ Toyota Yaris 2020 ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ แบบ 4 สูบ ขนาด 1.2 ลิตร DOHC 16 วาล์ว Dual VVT-iE รหัส 3NR-FKE ผสานกับระบบเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อม Shift Lock และฟังก์ชัน S Mode ให้กำลังสูงสุด 92 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 109 นิวตันเมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที ประหยัดน้ำมันมากขึ้นด้วยตัวเลข 23.3 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งยังผ่านมาตรฐานมลพิษ EURO 5

6. Mitsubishi Mirage ราคาเริ่มต้น 474,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 22.16 กม./ลิตร

           Mitsubishi Mirage มีการปรับดีไซน์ให้เป็นแบบ Advanced Dynamic Shield ตกแต่งด้วยแถบคาดสีแดง ไฟหน้า Bi-Led และไฟส่องสว่างกลางวัน LED รวมถึงล้ออัลลอยลายใหม่ ให้ความรู้สึกทันสมัยมากขึ้น กระจังหน้าตกแต่งลายเส้นโครเมียม ไฟหน้าฮาโลเจน มัลติรีเฟลกเตอร์ ไฟตัดหมอกคู่หน้า ไฟท้ายแบบ LED กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า ระบบปัดน้ำฝนแบบปรับหน่วงเวลา ไล่ฝ้ากระจกหลัง ภายในห้องโดยสารของ Mitsubishi Mirage มีการปรับเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายใน ภายในตกแต่งวัสดุแบบ Piano Black และ Carbon Print มาตรวัดการขับขี่แบบ High Contrast จอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์ พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำ สวิตช์ควบคุมระบบเครื่องเสียงบนพวงมาลัย สวิตช์สั่งงานด้วยเสียง พร้อมปุ่มรับสาย-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย หน้าจอขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อผ่านสมาร์ทโฟน รองรับ Apple Carplay และ Android Auto ระบบสั่งงานด้วยเสียง SIRI และระบบเชื่อมต่อบลูทูธ ช่องต่ออุปกรณ์ USB และช่องกระแสจ่ายไฟ DC 12 V กระจกหน้าต่างไฟฟ้าพร้อมปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติด้านคนขับ เซ็นทรัลล็อก พร้อมปุ่มล็อกและปลดล็อก ที่บังแดดคู่หน้า พร้อมกระจกส่องหน้า ที่พักแขนเบาะหลัง พร้อมช่องใส่แก้วน้ำ มือจับประตูด้านในแบบโครเมียม ราวมือจับเหนือศีรษะแบบพับได้ 3 ตำแหน่ง วัสดุหุ้มเบาะแบบผ้าเบาะนั่งคนขับปรับระดับสูง-ต่ำ กุญแจรีโมท ช่องเก็บของบริเวณคอนโซลหน้า และช่องเก็บของใต้คอพวงมาลัย ช่องเก็บของข้างประตูคู่หน้า พร้อมช่องใส่ขวดน้ำ ช่องเก็บของหลังเบาะคู่หน้า ที่วางแก้วน้ำบริเวณคอนโซลกลาง 3 ตำแหน่ง ตะขอแขวนของบริเวณหลังเบาะนั่งคู่หน้า ไฟส่องสว่างห้องสัมภาระท้าย พรมรองพื้นห้องโดยสารและอัปเดตอุปกรณ์ ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น Mitsubishi Mirage 2020 ใช้เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.2 ลิตร 3 สูบ DOHC MIVEC 12 วาล์ว พร้อมระบบ Auto Stop & Go ให้กำลังสูงสุด 78 แรงม้า ส่งกำลังสูงสุด 100 นิวตันเมตร ประหยัดน้ำมันได้ถึง 23.3 กิโลเมตรต่อลิตร มีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ

7. Honda City Hatchback ราคาเริ่มต้น 599,000 บาท / อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 23.3 กม./ลิตร

          Honda City Hatchback เปิดตัวด้วยกระแสความนิยมอย่างล้นหลาม เรียกได้ว่าปลุกตลาดรถเล็กให้กลับมาอีกครั้ง โดดเด่นด้วยความสปอร์ตหรูหราของดีไซน์ภายนอก มาพร้อม ด้วยชุดแต่งสไตล์ RS รอบคัน ด้านหน้าของ Honda City Hatchback ถูกถอดแบบมาจากรุ่นซีดานทั้งหมด ติดตั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวันแบบ LED ไฟท้ายแบบ LED กระจังหน้าโครเมียม เสาอากาศแบบครีบฉลาม และล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว ห้องโดยสารติดตั้งเบาะนั่งหุ้มวัสดุหนัง คอนโซลหน้าตกแต่งด้วยสีดำ Piano Black  มือเปิดประตูด้านในโครเมียม จอแสดงข้อมูลการขับขี่พร้อมมาตรวัดเรืองแสง เครื่องเสียง Advanced Touch จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay, ระบบสั่งงานด้วยเสียง SIRI และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ เป็นต้น ขณะที่เบาะนั่งด้านหลังเป็นแบบอัลตรา ซีท (ULTR) แยกพับแบบ 60:40 สามารถปรับเปลี่ยนตามการใช้งานได้ 4 โหมด โดยสามารถปรับเบาะหน้า-หลังแบบพับเรียบ หรือสามารถพับเบาะรองนั่งด้านหลังขึ้นเพื่อบรรทุกสัมภาระในแนวสูงได้ ระบบความปลอดภัยประกอบด้วยถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบเบรก ABS/EBD, ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA และกล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ Multi-angle Rearview Camera  ด้านขุมพลังยังคงเป็นเครื่องยนต์เบนซินความจุ 1.0 ลิตร VTEC TURBO ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร

ความจริงแล้วนั้นรถยนต์อีโค่คาร์ ไม่ใช่รถยนต์ที่มีราคาถูกแต่ไร้คุณภาพ อีโค่คาร์คือรถที่มีมาตรฐานต่างๆรองรับมากมาย เป็นรถที่มีดีที่มาตรฐาน ดังนั้นหากท่านกำลังมองหารถขนาดเล็กเหมาะสำหรับคนที่ไม่ได้ใช้งานรถเยอะมาก เน้นขับในตัวเมือง อีโค่คาร์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจเหมือนกันครับ

Most Popular

To Top