Special Tips

รวมสไตล์แต่ง ECO สุดจี๊ด อยากแรง แต่งไงให้เฟี้ยว สาวเหลียวยันเงา

ECO CAR เกิดขึ้นมาในเมืองไทยหลายปีก่อน โดยมุ่งเน้นเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ความจุไม่เกิน 1.2 ลิตร ตัวรถมีขนาดเล็กกะทัดรัด เกิดมาเพื่อเป็นรถที่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก คล่องตัว ราคาไม่แพง (แต่จริงๆ ถ้าถูกกว่านี้ก็ดีนะ) แต่ก็ยังพอจะครอบคลุมการใช้งานได้แบบครอบครัว ทำให้ได้รับความนิยมสูงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเหล่า “วัยรุ่น” ที่เพิ่งจะมีรถคันแรก แต่ว่า… แม้จะเป็น ECO CAR แต่ถ้าอยู่ในมือ “สายซิ่ง” แล้ว ย่อมดิ้นรนหาทางเพิ่มแรงม้า เพิ่มความงาม เรียกว่าแต่งเป็น “ตัวจี๊ด” ซึ่งตอนนี้ทำแรงม้าไปแบบกู่ไม่กลับ เรียกว่าในเครื่อง 1.2 ลิตร โมดิฟายเต็มๆ ใส่เทอร์โบ รถวิ่งถนนก็ต้องมีแถวๆ 300-400 ม้า !!! แต่ถ้าสำหรับแข่งขัน ก็ต้องมี “ครึ่งพันม้า” ขึ้นไป !!! เรียกว่าใส่กันระห่ำซัมเมอร์เซลส์จริงๆ ครั้งนี้ มาดูกันว่า ถ้าจะแต่ง ECO CARสักคัน ในสเต็ปที่วิ่งถนนได้ปกติ และ “ขับสนุกมากขึ้น” จะต้องทำอะไรกันบ้าง

ทำไมต้อง HONDA

ณ ตอนนี้ ECO CAR ยอดนิยมที่สุด คือ HONDABRIO ที่ของแต่งมาเพียบจริงๆ และกระแสนิยมกันมาก เพราะได้เปรียบในการโมดิฟายบนเครื่อง L12A4 สูบ รวมถึงมีของแต่งมากมายให้เลือก ซึ่งดูแล้วตามสนามแข่ง หรือ รถซิ่ง โดยมากก็ตัวนี้ทั้งนั้น ยังไม่พอใจก็สามารถยกเครื่อง L15A จาก JAZZ มาใส่แล้วโมดิฟายต่อได้อีกเพียบ จนบ้าพลังหลุดโลกไปยัน 600 -700 ม้า กันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว บนเครื่องพันห้านี่แหละ !!! ส่วนค่ายอื่นๆ รองลงมาก็จะเป็น SUZUKI SWIFT ที่จะออกแนวแต่งสวยงาม เพราะทรวดทรงรถมันเหมือนกับ MINI ส่วนเครื่องก็จะยากหน่อย เพราะของไม่หลากหลายเหมือน HONDA พวก กล่อง ท่อ ของแต่งรอบนอกนั้นหาไม่ยาก แต่จะดิ้นรนไปถึงไส้ในชุดใหญ่ ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร ครั้นจะยกเครื่อง 1.6 ลิตร ตัวนอกมาใส่ ราคาก็โดดไปเยอะเลย คนเลยนิยมน้อยกว่า ส่วน NewTOYOTA YARIS1.2 ส่วนมากก็จะแรงทางลัด โดยการ “เซ็ตเทอร์โบ” แต่ไส้ในก็ยังไม่ค่อยมีให้เล่น จึงได้แต่ “บูสต์เบาะๆ” ตอบสนองดีกว่าเดิม และข้อเสียอีกอย่าง คือ “มีเฉพาะเกียร์ออโต้” จะต้องไปแปลงเกียร์ธรรมดามาใส่อีก สาย YARISก็จะนิยมแต่งแนว “สีสัน” กันมากกว่า ส่วน NISSAN MARCH จริงๆ ก็ทำแรงได้เหมือนกัน ใส่เทอร์โบก็แรงระดับ 300 กว่าม้าขึ้นไป แต่ข้อเสีย คือ เครื่อง 3 สูบ ความทนทานและความบาลานซ์จะสู้ 4 สูบ ไม่ได้ และตัวรถก็ออกมานานแล้ว แม้ตอนนี้จะเป็นตัว NOTE แต่ก็ทรวดทรงมันดูผู้ใหญ่ ไม่โดนใจวัยแรงสักเท่าไร และจะเปลี่ยนเครื่องก็ไม่มีบล็อกให้เล่นแบบตรงบอดี้ คงมีแต่ SR20VE วาล์วแปรผัน แต่ก็แก้กันเยอะแยะ ส่วน MITSUBISHI MIRAGE อันนี้จะมีของซิ่งน้อยกว่าเพื่อน ด้วยขุมพลัง 3 สูบ ที่ออกแบบมาเป็น “ช่วงชักยาวเฟื้อย” ลูกสูบเล็ก วาล์วก็เล็ก มีกำลังเฉพาะในรอบต้น รอบปลายเหี่ยว จริงๆ มันดีกับการใช้งานทั่วไปอย่างมาก แต่พอจะโมดิฟายเพิ่ม สรีระเครื่องแบบนี้จะทำได้ยากกว่าค่ายอื่น ของแต่งเครื่องก็เลยไม่ค่อยจะมีคนทำออกมานั่นเองครับ ดังนั้น เราขอชูประเด็นไปในทาง HONDA เป็นหลักนะครับ

สเต็ปกิ๋วกิ้ว วิ่งฉิวใช้ได้ซิ่งได้

สำหรับสเต็ปการโมดิฟาย เราจะเน้นในรถวิ่งถนนใช้งานได้ ซิ่งได้ด้วยนะครับ ซึ่งแน่นอนว่า มันจะไม่ใช่การโมดิฟายแบบสุดขั้วแบบม้าขนหัวลุกฝูงโต พวกนั้นเป็นรถที่เหนือการใช้งานทั่วไป จนวิ่งสนามเป็นหลัก พวกนั้นลงทุนกันหลายๆ แสน จนเป็นล้าน ดูแล้วมันเลยเถิดไปกว่าคนทั่วไปจะเอื้อมถึงและไม่สามารถใช้งานได้จริง สเต็ปแรกกิ๋วกิ้ว ก็จะเป็นแนวที่ไม่ต้องยุ่งกับตัวเครื่อง ยุ่งแต่อุปกรณ์รอบนอก ก่อนอื่นก็ต้องมีกล่องจูนใบนึงก่อน โดยมากจะเป็นกล่องพ่วง เพราะเราต้องการเปลี่ยนเงื่อนไขการจุดระเบิดและการจ่ายน้ำมันเป็นหลัก ส่วนกล่องเดิมยังต้องเอาไว้ เพราะมันต้องควบคุมระบบต่างๆ ในตัวรถ เช่น ระบบแอร์ หน้าปัด อะไรต่างๆ ที่ระบบมันต้องครบถึงจะไม่เอ๋อ แล้วใช้กล่องพ่วงคุมไฟจุดระเบิดหรือน้ำมันเอา ตอนนี้ก็นิยมน้ำมัน E85 ที่ออกเทนสูง ราคาไม่แพง แล้วก็มีชุดกรองอากาศ และ หม้อพักไอเสียซิ่งสักใบหนึ่งก็พอ หม้อพักใบกลางไม่แนะนำให้เอาออกเพราะจะ “หนกขู” เอ้ย หนวกหู พวกจะสรรเสริญบรรพบุรุษซะ หม้อพักใบกลางมันเป็นไส้ (เกือบ) ตรงอยู่แล้ว อย่างน้อยมีไว้หน่อยก็ไม่เสียหายอะไรหรอก

สำหรับสเต็ป กล่อง กรอง ท่อ จูนน้ำมัน E85 กำตังค์ไว้แถวๆ “สี่หมื่นกว่าบาท” รับรองจบ โดยแยกเป็นกล่องจูน ราคาเฉลี่ย 17,000-25,000 บาท ถ้าจะเอาจูน 2 Map โดยแยกว่าเป็นโหมดขับปกติ น้ำมันธรรมดา กับโหมดซิ่ง น้ำมัน E85 ก็ต้องเพิ่มอีกประมาณ 2,000 บาท เพราะต้องจูนเพิ่มก็ต้องบวกค่าจูนไป กรองอากาศ อันนี้แล้วแต่จะชอบ มีหลายเกรดให้เลือก ส่วนหม้อพักไอเสีย ก็มีตั้งแต่ หลักพัน ไปยันหลักหมื่นถ้าเป็นท่อไทเทเนียม สเต็ปนี้ได้แรงม้าเพิ่มมา“สิบกว่าตัว” ไม่น้อยเหมือนกันเพราะเครื่องแค่พันสอง แถมไส้ในเครื่องยังไม่ได้แตะต้องอะไร ถ้าเทียบความจุกับแรงม้าที่เพิ่มขึ้นมา ก็ถือว่าตอบสนองดีและขับสนุกขึ้นเยอะ แถมไม่เสี่ยงเครื่องพังเพราะแรงม้าขนาดนี้ที่เพิ่มมาเครื่องเดิมๆ รับได้สบาย

สเต็ปสอง แรงขึ้นแบบออกนอกหน้า

ถ้ายังคิดว่าสเต็ปแรกนั้นเด็กๆ ไป แรงม้าแค่นี้ไม่พอรองรับ Teen ขวา อยากจะเฟี้ยวมากขึ้น ก็ต้องมีการอัพเกรดไส้ในและอุปกรณ์อื่นๆ อีก อันแรกแบบ NA ไร้หอยก่อน จากสเต็ปแรก จะเอาแรงขึ้นก็ต้อง “เปลี่ยนแคมซิ่ง” เพราะถ้า NA ไม่เพิ่มการดูดอากาศและการคายไอเสียให้มากขึ้น รอบเครื่องก็ต้องสูงขึ้น ไม่งั้นแล้วจะเอาแรงม้าที่ไหนมาเพิ่ม แคมซิ่งแท่งหนึ่งราคาแถวๆ 8,000-9,000 บาท จนไปถึงหลักหมื่นสำหรับสเต็ปสูงๆ แต่แนะนำหน่อย ว่าถ้าเป็นรถวิ่งถนนใช้งานด้วย อย่าโลภเอาแคมซิ่งองศาสูงมากๆ มาใช้ เพราะรอบต่ำจะไม่มีแรง มีแรงเฉพาะช่วงแคบๆ ในรอบสูง ทำให้ขับบนถนนไม่เอาอ่าว ไม่เร็วเพราะรอรอบ ขับก็ยากแม่งกระโชกโฮกฮากอย่างเดียว เดินเบาก็สั่น แม้จะชอบแต่ก็ไม่เหมาะ เปิดแอร์ก็จะดับ และถ้าเครื่องทำแบบกิ๋วกิ้วก็ “ไม่แรง” เพราะกำลังอัดไม่ถึง เค้นรอบสูงมากแม่งก็พังอีก เพราะฉะนั้น เอาแคมซิ่งสเต็ปแรกก็พอ แค่นี้ก็จี๊ดกว่าเดิมเยอะแล้ว พวกแคมซิ่งสเต็ปสูงๆ ปล่อยให้พวกรถวิ่ง Drag หรือเน้นกระทืบอย่างเดียวเขาใช้ไปเถอะ ส่วน “ไส้ใน” ถ้าทำแรงขึ้นมาพอสมควร ก็ควรจะเปลี่ยนไส้ในของแต่งกันหน่อย เพราะของเดิมมีขนาดจุ๋มจิ๋มน่ารัก ต้องเปลี่ยนให้แข็งแรงขึ้น โดยหลักก็คือ ก้านสูบ ถ้าของอเมริกาก็อยู่ราวๆ 25,000 บาท ราคาก็มีผันผวนบ้าง แต่ถ้าเป็นของเกรดจีน ไต้หวัน ก็ถูกลงมาครึ่งนึง งบประมาณทั้งหมดก็เตรียมไว้ 80,000-100,000 บาท แล้วแต่เกรดของที่ใช้ และรายละเอียดต่างๆ ยิบย่อย ค่าแรงอะไรอีก

สเต็ปเปลี่ยนหัวใจ แรงต่อยอด

ถ้าคิดว่าจะต่อยอดความแรงที่มากขึ้นในอนาคต อีกสเต็ปคือการ “เปลี่ยนเครื่อง” อันนี้ HONDA จะได้เปรียบ เพราะสามารถยกเครื่อง L15A ความจุ 1,500 ซีซี. มาลงได้เลย ค่าเครื่องประมาณ 30,000 บาท อาจจะมีถูกแพงกว่านี้แล้วแต่สภาพ และอุปกรณ์ที่มีมา จริงๆ แล้วอาจจะต้องคิดคำนวณดีๆ เพราะการเปลี่ยนเครื่อง จะต้องจ่ายค่าแรง อุปกรณ์อื่นๆ อีก ได้แรงม้าอยู่ 120 PS ซึ่งถ้าโมดิฟายเครื่องเดิมอาจจะใช้งบประมาณที่พอๆ กัน กับแรงม้าขนาดนี้ ดังนั้น L15A จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการไปให้ไกลกว่าเดิม เพราะความจุที่มากกว่า ก็ย่อมทำแรงม้าเพิ่มได้ง่ายและทนทานกว่า โดยมากก็จะวางเครื่องแล้วโมดิฟายต่อกันหนักๆ เพราะลงทุนขนาดนี้ก็ย่อมอยากจะได้แรงมากๆ อยู่แล้ว เพราะถ้าวางเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไร ก็โมดิฟายเครื่อง L12 เดิมๆ ไม่ดีกว่าเหรอครับ ซึ่งคนลงทุนเปลี่ยนเครื่องก็แต่ละคนน้ำหนัก Teen ไม่เบาหรอกครับ น้ำหนักตังค์ในกระเป๋าก็เช่นกัน ส่วนมากก็โมเต็มๆ แบบ NA อยู่แถวๆ 180-200 ม้า (ม้าวัดที่ฟลายวีลนะครับ ถ้าวัดที่ล้อก็เหลือ 140-150 โดยเฉลี่ย แล้วแต่เงื่อนไขต่างๆ มากมาย) ประเภท “ใส่สี่ลิ้น” เปลือยปากแตร แรงเอาเรื่อง แต่ต้องแลกกับการขับยาก จะไปทางซิ่งอย่างเดียว สำหรับค่ายอื่นก็จะใช้วิธีนี้ยากหน่อย เพราะเครื่องไม่ได้หาง่ายเหมือน HONDA แบบจับยัดได้เลย ครั้นจะเปลี่ยนเครื่องข้ามตระกูลไปมากๆ ก็ต้องดัดแปลงเยอะ โดยเฉพาะ SUZUKI ที่แม้ว่าจะเอาเครื่อง 1600 จาก Swift Sport ใส่ได้ แต่ราคาก็แรง เรียกว่านิยมกันเฉพาะกลุ่ม ส่วน NISSAN ก็ต้องข้ามไปคบกับพวก SR16VE ที่เป็นบล็อกเก่ากว่า ซึ่งก็ต้องดัดแปลงกันหลายจุด แต่ก็มีคนทำ ต้องใจรักจริงๆ

สเต็ปมีหอย แรงทางลัด

สำหรับคนที่ชอบแรงทางลัด ยัดหอยแล้วแรงแน่ๆ ก็ต้องจัดไป ก็จะมีข้อดีอยู่ที่ว่า การตอบสนองของเครื่องจะดีแบบไม่ต้องลากรอบสูงเพื่อเรียกแรงม้า เทอร์โบที่ใช้ในสเต็ปขับใช้งานทั่วไปด้วย ก็จะเป็นพวกขนาดเล็กๆ อย่างT04 ของจีนมีขายกันเพียบ เลือกไอ้ที่มันดูดีหน่อยแล้วกันจะได้อายุยืนหน่อย ไม่ลาตายก่อนวัยอันควร สำหรับค่าเซ็ตเทอร์โบ สเต็ปเริ่มต้นก็ต้องมี 70,000 บาท แถวๆ นี้ ถ้าใช้ของใหม่ทั้งหมด อาจจะมองว่าแพง แต่ให้มองตามเหตุผล เพราะอุปกรณ์ส่วนเพิ่มมันเยอะ เช่น ตัวเทอร์โบ, อินเตอร์คูลเลอร์, โบล์วออฟวาล์ว, เดินท่ออินเตอร์ ท่อไอเสียใหม่หมด, หัวฉีด ปั๊มติ๊ก เรกกูเลเตอร์ ต้องเปลี่ยนใหม่หมด พอใส่เยอะค่าแรงก็ต้องเพิ่มไปตามรายการ ถ้าเป็นเครื่อง 1,200 ทั่วไป แรงม้าก็เพิ่มมาแถวๆ 110-120 ตัว กับบูสต์ 0.4 บาร์ สำหรับเครื่องที่ไม่ทำไส้ใน แต่ถ้าเป็น L15A ก็จะมีแรงม้าเพิ่มไปกว่านี้ แต่ได้แรงบิดเพิ่มขึ้นที่รอบต่ำลง ขับมันส์ขึ้นแน่ๆ แต่ต้องบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น เช่น น้ำมันเครื่องเกรดสูงขึ้น เปลี่ยนบ่อยขึ้น เพื่อรักษาเครื่องเพราะมันมีความร้อนเพิ่มขึ้นจากเทอร์โบนั่นเอง แต่ถ้าเจอสายบ้าพลัง ทำไส้ในเต็ม เตรียมพร้อม ถ้าเป็นรถถนนก็ต้องมี 300 กว่าม้าไว้ขยี้เล่น ถ้ารถแนวซิ่งโดยตรง ก็บ้ากันไปถึง 400-600 ม้า สำหรับวิ่ง Drag เท่านั้น งบประมาณก็ต้องมีเกินครึ่งล้าน เจริญพร

สนุกๆ มันส์ๆ กับสเต็ปการโม ECO CAR แบบต่างๆ ซึ่งก็มีความแรงที่แตกต่างกันไปแล้วแต่จุดประสงค์ของแต่ละคน ต้องพิจารณาเองให้ได้ว่าเราจะเลือกทำแบบไหน ถึงจะเหมาะสมกับตัวตนของเรา แรงม้ามากใครก็อยากได้ แต่มากเกินแล้วไง ??? ขับใช้งานยาก วิ่งได้แต่รอบสูง คุมรถเหนื่อย แด-น้ำมันหยั่งกะปล้น เสียงดังหนวกหูคนอื่น เครื่องโทรมและพังไว เสียตังค์มากโดยใช่เหตุ ถ้ามีตังค์และมีปัญญาทำได้แรงเยอะๆ ก็อีกเรื่อง ซึ่งรถพวกนี้ก็มักจะเอาไว้ขับเล่น ไม่เน้นใช้งาน แต่เราจะทำอย่างไรถึงจะเดินทางสายกลางสำหรับรถวิ่งถนน ใช้งานยังสบาย ซิ่งก็ได้สนุกๆ งบประมาณไม่แพงเกินไป มีความทนทานเหมือนเดิม อันนี้เป็นทางออกที่ดีกว่าครับ โดยเฉพาะคนที่มีรถเพียงคันเดียว

 

By:เค ไชยรัตน์ ไพศาลธนจิตร

Most Popular

To Top