เปรียบประดุจดั่งหนุ่มน้อยทรวดทรงสำอางค์ในวัยกำลังห้าวหาญ ที่มีต้นตระกูลมาจากเมืองผู้ดี พกพาคุณสมบัติที่พร้อมจะตะลุยใฝ่หาประสบการณ์ด้วยสิ่งต่างๆ ที่มีติดตัวมา ทั้งความร้อนแรงของหัวใจที่แม้จะดูไปแล้วดวงน้อยไปหน่อยแต่ก็มีพละกำลังเหลือเฟือที่พร้อมจะผจญไปในทุกหนแห่ง รวมไปถึงลำหักลำโค่นที่แข็งแกร่งแต่แฝงไว้ด้วยความนิ่มนวลในทุกสภาพเส้นทาง และความแม่นยำและความมีเสถียรภาพในทุกทางโค้งและทางลาดชัน
ครับและนี่คือ MG GS 1.5 เจ้าหนุ่มน้อยที่เรากำลังกล่าวถึงในความสามารถที่เกินตัว ในเรือนร่างของความเป็นรถยนต์อเนกประสงค์ ที่ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด บริท ไดนามิค (Brit Dynamic) พร้อมยกระดับคุณสมบัติให้มีทั้งความโดดเด่นในด้านดีไซน์ ที่ให้ความคมเข้มไปกับกรอบไฟหน้าฮาโลเจนพร้อมระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ รวมถึงไฟเดย์ไทม์ รันนิ่ง ไลท์ และไฟท้ายแบบ LED
ความหล่อความคมเข้มว่าไปแล้ว ทอดสายตาทั่วแผ่นดิน นับได้ว่าไม่เป็นสองรองใคร แม้เรือนร่างจะดูสะโอดสะองไปบ้าง แต่เมื่อก้าวเดินเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของเจ้าหนุ่มน้อยแล้ว ต้องบอกว่ามีการออกแบบเน้นความทันสมัยด้วยเส้นสายที่เฉียบคม กว้างขวาง รองรับการใช้งานทุกรูปแบบ ผ่านการตกแต่งด้วยวัสดุหนังสีดำเบาะนั่งดูสปอร์ตนั่งสบาย แม้ต้องเดินทางกันไกลๆ ก็ไม่เกิดอาการเมื่อยล้า โดยเฉพาะเมื่อต้องรองรับผู้โดยสารหุ่นไซส์ XL ถึงสี่คนด้วยแล้ว ก็ไม่ทำให้ดูคับแคบแต่ประการใด โดยเฉพาะห้องบรรทุกสัมภาระด้านหลัง สามารถจุของสัมภาระส่วนตัวของแต่ละท่านได้อย่างสบาย
การเดินทางไกลๆ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยให้การขับรถไม่เคร่งเครียดจนเกินไป เจ้าหนุ่มน้อยคันนี้มีมาให้พร้อมสรรพเหมือนกับรู้ใจ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของระบบเอนเตอร์เทนเม้นท์ ที่มีหน้าจอมัลติฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ 8 นิ้ว ระบบเครื่องเสียงเพื่อความบันเทิงพร้อมลำโพงที่มีมาให้ถึง 8 ตัว อีกทั้งยังรองรับมัลติมีเดียและการเชื่อมต่อบลูทูธ USB และ AUX ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติพร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ลดอาการเมื่อยล้าด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control ที่ใช้งานง่าย กระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนม้ติ และกุญแจอัจฉริยะ ที่ใช้การสตาร์ทแบบ Push Start
หัวใจดวงน้อยเป็นแบบเบนซิน เทอร์โบ ขนาด 1.5 ลิตร DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว ไดเรคอินเจคชั่น ให้พละกำลังสูงสุด 167 แรงม้าที่ 5,600 รอบ/นาที และแรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตรที่ 1,700 – 4,400 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ TST – Twin Clutch Sportronic Transmission แบบ 7 สปีด
อย่างที่กล่าวไว้ เจ้าหนุ่มน้อยคันนี้ มีของดีติดตัวมาที่ช่วยให้การขับขี่เป็นไปอย่างสะดวกสบาย ในส่วนของพวงมาลัยนั้นแม้ต้องขับในเส้นทางลดเลี้ยวเคี้ยวคด การบังคับควบคุมเป็นไปอย่างง่ายดาย ด้วยระบบผ่อนแรงด้วยไฟฟ้า พร้อมกับ Paddle Shift ที่สามารถปรับเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ด้วยปลายนิ้วที่ติดตั้งหลังพวงมาลัย
ระหว่างทางจากด่านห้วยโกร๋นมายังแขวงอุดมไชย ถนนหนทางเริ่มจะแคบลงและทางเริ่มขรุขระในบางช่วง ถนนเป็นสองเลน วิ่งสวนกัน การเดินทางในรูปแบบคาราวาน บางครัังต้องการอัตราเร่ง เพื่อเร่งแซงรถที่วิ่งช้ากว่าข้างหน้า และเมื่อผ่านย่านชุมชนยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้่นเป็นพิเศษ ซึ่งเจ้าหนุ่มน้อยของเราก็สามารถรับภาระกิจได้เป็นอย่างดีไม่มีที่ติ
ความหนึบแน่นของช่วงล่างที่คงไว้ซึ่งความนุ่มนวลยามต้องเจอกับทางขรุขระ ต้องยกความดีความชอบนี้ให้กับระบบช่วงล่างที่ด้านหน้าเป็นแบบอิสระ แม็คเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง และด้านหลังที่เป็นแบบอิสระ มัลติลิงค์ หร้อมเหล็กกันโคลง
หากถามหาตัวช่วย ในการขับขี่ที่ทำให้มั่นใจมากขึ้น เจ้าหนุ่มน้อยคันนี้มีดีที่โครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) พร้อมถุงลม 4 จุด คู่หน้าและด้านข้าง และยังให้ความมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยระบบความปลอดภัยแบบ SYNCHRONIZE PROTECTION SYSTEM 13 ฟังก์ชั่น ที่ทำงานประสานกันเป็นหนึ่งเดียว
- ABS – Anti-lock Braking System ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน
- EBD – Electronic Brake Force Distribution System ระบบช่วยกระจายแรงเบรก
- TCS – Traction Control System ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล
- CBC – Curve Brake Control ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง
- SCS – Stability Control System ระบบควบคุมการทรงตัว
- AVH – Auto Vehicle Hold ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง
- BDC – Intelligent Brake Disc Cleaning ระบบทำความสะอาดจานเบรกอัจฉริยะ
- OHBV – Optimized Hydraulic Brake Servo ระบบเพิ่มแรงดันไฮดรอลิคเบรกให้เหมาะสม
- MSR – Motor Control Slide Retainer ระบบป้องกันการลื่นไถล เมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน
- EBA – Electronic Brake Assist ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์
- HAS – Hill-Start Assist System ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน
- TPMS – Tire Pressure Monitor System ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (เฉพาะรุ่น 2.0)
- EPB – Electronic Parking Brake ระบบเบรกมือไฟฟ้า
วันแรกที่เราเริ่มทำความรู้จักกับหนุ่มน้อยคันนี้ และค่อยๆ สร้างความคุ้นเคยบนเส้นทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่น่าน ถนนช่วงแรกๆ เป็นไฮเวย์ที่สามารถทดลองในเรื่องของอัตราเร่ง และทำความรู้จักกับฟีเจอร์ต่างๆ ที่ MG GS คันนี้มีมาให้ และเมื่อเรื่มมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ เส้นทางเริ่มที่จะมีทางสูงชัน ทางโค้ง และมีการทำถนนในบางช่วง
และแล้วก็ถึงเวลาของการเดินทางในรูปแบบคาราวานท่องเที่ยวกันอย่างจริงๆ จังๆ โดยมีจุดเริ่มต้นที่จังหวัดน่าน มุ่งหน้าสู่ด่านชายแดนบ้านห้วยโกร๋น และทำพิธีการข้ามด่านทั้งสองประเทศ ผ่านขุนเขาลูกแล้วลูกเล่าผ่านเมืองปากแบง
ถนนหนทางเริ่มแคบเป็นเส้นทางสวนกัน ในบางช่วงผ่านชุมชนและวิ่งเลาะเลียบขนานไปกับสายน้ำ จากน่านถึงแขวงอุดมไชย เป็นระยะทางโดยประมาณ 420 กิโลเมตร
มื้อแรกบนแผ่นดิน สปป.ลาว ที่บ้านปากแบง ก็เลยเวลาเที่ยงไปเล็กน้อย ที่เข็มนาฬิกาเริ่มจะขยับไปที่เลข 3 เข้าไปทุกที แต่นั่นแหละครับวิถึของการเดินทางในรูปแบบของคาราวานที่ไม่สามารถที่จะกำหนดเวลาได้ตรงตามที่คาดการณ์กันไว้ได้
ดวงตะวันเริ่มบ่ายคล้อยลงสู่ผืนดิน แต่การเดินทางทางของคณะเรายังไม่ถึงจุดหมาย เด็กนักเรียนเลิกเรียน เดินทางด้วยเท้ากันเป็นส่วนใหญ่ บางช่วงถนนเป็นฝุ่นซึ่งต้องลดความเร็วลง บางช่วงวิ่งสวนทางกับรถใหญ่บรรทุกสินค้า ที่ต้องบอกว่า พวกเค้าเหล่านั้นไม่มีการผ่อนคันเร่งกันเลยแม้แต่น้อย ด้วบความเคยชินที่วิ่งกันบนถนนเส้นนี้ทุกวี่วัน
แน่นอนว่ากว่าเราจะมาถึงที่พักคืนแรกในสปป.ลาว ที่แขวงอุดมไชย ก็ใกล้เวลาสองทุ่มเข้าไปแล้ว ที่นี่อยู่ท่ามกลางขุนเขา มีลำธารไหลผ่านดูเป็นธรรมชาติ
วันที่สองของการเดินทาง แขวงอุดมไชย – เดียนเบียนฟู ระยะทางโดยประมาณ 210 กิโลเมตร ระยะทางอาจดูว่าสั้น แต่วันนี้เป็นการเดินทางที่ต้องใช้เวลาไปกับการทำเอกสารข้ามแดนจาก สปป.ลาว สู่เวียดนาม ซึ่งต้องใช้เวลาในการทำเอกสารทั้ง 2 ฝั่ง
จากด่านเหลือระยะทางอีกแค่ 40 กิโลเมตรเท่านั้นก็จะถึงเดียนเบียนฟู และแน่นอนว่าเราต้องผ่านขุนเขาอีกหลายลูก แต่ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ สภาพทางเป็นฝุ่นละเอียด รถบรรทุกยังมีวิ่งกันอย่างต่อเนื่อง และในบางช่วงยังมีการปิดถนนเพื่อทำการซ่อมทาง ทำให้เสียเวลาในการเดินทางไปเป็นชั่วโมง
เดียนเบียนฟูเป็นดินแดนประวัติศาสตร์สมัยสงครามอินโดจีน เมื่อครั้งที่ฝรั่งเศสล่าอาณานิคม และที่เมืองนี้นี่เองที่เป็นที่มั่นสุดท้ายของการล่าอาณานิคมของฝรั่งเศส ก่อนจะพ่ายแพ้สงครามให้กับเวียดนาม
วันที่สามของการเดินทางจากเดียนเบียนฟู-ไลเชา-ซาป้าระยะทาง 320 กิโลเมตร วันนี้เป็นการเดินทางที่ทรหดมากที่สุดของทริปนี้ แม้ว่าสภาพทางจะดีกว่าใน สปป.ลาว แต่สภาพทางยังคงเป็นเลนรถวิ่งสวนทางกัน ขับขึ้นเขาลูกแล้วลูกเล่า ผ่านเขื่อนชลประทาน ถนนที่ชื้นแฉะไปด้วยไอน้ำที่เกาะอยู่บนพื้นถนน แต่วิวสองข้างทางก็ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ ไปกับความสวยงาม
เมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งของประเทศเวียดนาม คือ ซาป้า กับการพิชิตยอดเขาฟานซีปัน ซึ่งเป็นเทือกเขาที่ทอดยาวมาจากมณฑลยูนนานประเทศจีน บนเทือกเขาหว่างเหลี่ยนเซิน นับเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในอินโดจีน จนได้รับการกล่าวขานให้เป็นหลังคาอินโดจีน
นับเป็นประสบการณ์การเดินทางข้ามประเทศอีกหนึ่งทริป กับรถยนต์ที่หลายๆ คนกังวลว่าจะไปถึงหรือไม่ แต่หนุ่มน้อย MG GS 1.5 คันนี้ไม่ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย เค้าพร้อมที่จะตะลุยไปทุกเส้นทาง และพร้อมตอบสนองต่อการขับขี่และการเดินทางแบบไร้อุปสรรค ถือเป็นรถยนต์ที่คุ้มค่าต่อการใช้งานงานและการลงทุนไม่น้อยทีเดียว