เชลล์ประกาศยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานประจำปี ค.ศ. 2024
- เชลล์จะยังคงเดินหน้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินงานลงครึ่งหนึ่ง (ขอบเขตที่ 1 และ 2) ภายใน
ปี ค.ศ. 2030 โดยประเมินจากมูลค่าสุทธิเทียบกับปี ค.ศ. 2016 ทั้งนี้ เมื่อสิ้นปี ค.ศ. 2023 เชลล์ได้บรรลุเป้าหมายนี้แล้วกว่า 60% นอกจากนี้ เชลล์ยังคงลดความเข้มข้นคาร์บอนสุทธิของผลิตภัณฑ์พลังงานที่จำหน่ายลง 3% เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่เชลล์บรรลุเป้าหมาย - เพื่อช่วยขับเคลื่อนการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการขนส่ง เชลล์ได้มีความมุ่งหมายใหม่ที่จะลดการปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกของลูกค้าจากการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันของเชลล์ลง 15-20% ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยเทียบกับปี ค.ศ. 2021 (ขอบเขตที่ 3, หมวดที่ 11) - เชลล์ยืนยันในการลงทุนจำนวน 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ระหว่างปี ค.ศ. 2023 ถึงสิ้นปี ค.ศ. 2025 ในโซลูชัน พลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งทำให้เชลล์เป็นผู้ลงทุนรายสำคัญในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
- กรุงเทพฯ – 18 มีนาคม 2567 – เมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัท เชลล์ จำกัด (มหาชน) (Shell) ได้เผยแพร่การอัปเดตข้อมูลการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่มีการเปิดตัวกลยุทธ์ Powering Progress ในปี ค.ศ. 2021 ในงาน Capital Markets Day ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2023 นั้น เชลล์ได้เน้นย้ำถึงแนวทางของกลยุทธ์นี้ที่จะนำมาใช้ในการสร้างมูลค่าที่มากขึ้นควบคู่กับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในงาน Capital Markets Day นั้น เชลล์มุ่งเน้น
ที่ “การสร้างมูลค่าที่มากขึ้น” ส่วนในการอัปเดตการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานครั้งนี้ เชลล์มุ่งเน้นไปที่วิธีการที่กลยุทธ์เดียวกันนี้จะช่วย “ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก”
เป้าหมายของเราที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในค.ศ. 2050 ในการดําเนินงานและผลิตภัณฑ์พลังงานทั้งหมดนี้กำลังเปลี่ยนแปลงธุรกิจของเรา เราเชื่อว่าเป้าหมายนี้จะช่วยให้บรรลุความมุ่งมั่นที่ท้าทายของข้อตกลงปารีสในการจํากัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5°C เหนือระดับอุณหภูมิก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม กลยุทธ์ของเชลล์สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่โซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำอย่างสมดุลและมีแบบแผนเพื่อรักษา
แหล่งพลังงานที่มั่นคงและมีระดับราคาที่จับต้องได้
มร. วาเอล ซาวัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสูงสุดของบริษัท เชลล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “พลังงานมีส่วนช่วยในการพัฒนาของมนุษย์อย่างมากมาย ช่วยให้ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปัจจุบัน โลกต้องตอบสนองความต้องการพลังงานที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ต้องจัดการกับความท้าทายเร่งด่วนของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ผมรู้สึกมีกำลังใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในหลายประเทศ
และเทคโนโลยีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นอันแน่วแน่ของผมในทิศทางของกลยุทธ์เรา”
“เชลล์มีบทบาทสำคัญมากในการจัดหาพลังงานที่โลกต้องการในปัจจุบัน และในการช่วยสร้างระบบพลังงานคาร์บอนต่ำสำหรับอนาคต การมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ วินัย และความเรียบง่ายในกระบวนการทำงานของเรา ช่วยผลักดันให้เกิดการตัดสินใจที่ชัดเจน ในจุดที่เราสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดจากการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และสร้างมูลค่าสูงสุดให้กับนักลงทุนและลูกค้าของเชลล์ เราเชื่อว่า การมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพ วินัย และความเรียบง่ายนี้จะยิ่งทำให้เรามีโอกาสบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศมากขึ้น โดยการจัดหาพลังงานประเภทต่าง ๆ ที่โลกต้องการ เราเชื่อว่าเชลล์เป็นทั้งทางเลือกสำหรับการลงทุนและพันธมิตรที่เหมาะสมที่สุด ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้” ซาวัน กล่าว
แผนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของเชลล์ครอบคลุมธุรกิจทั้งหมด ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญ
ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน และเชลล์กำลังขยายธุรกิจ LNG ชั้นนำของโลกด้วยความเข้มข้นของคาร์บอนที่ต่ำลง นอกจากนี้ เชลล์ยังมุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการผลิตน้ำมันและก๊าซ ในขณะที่ยังคงรักษาระดับการผลิตน้ำมันให้คงที่ และเพิ่มยอดขายพลังงานคาร์บอนต่ำ รวมถึงทยอยลดการจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมัน เช่น น้ำมันเบนซิน ดีเซล และน้ำมันเครื่องบิน ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้ค้าพลังงานรายใหญ่ที่สุดของโลก เชลล์สามารถเชื่อมโยงการจัดหาพลังงาน คาร์บอนต่ำเพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้อย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่เราเคยทำมาเป็นเวลานานกับธุรกิจน้ำมันและก๊าซ
เป้าหมายด้านสภาพอากาศของเชลล์มีความคืบหน้าที่ดีมากดังนี้
- ในปี ค.ศ. 2023 เชลล์บรรลุความสำเร็จไปแล้วกว่า 60% จากเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จากการดำเนินงาน
ลงครึ่งหนึ่งภายในปี ค.ศ. 2030 เมื่อเทียบกับ ปี ค.ศ. 2016 ซึ่งถือว่าเกินกว่าเป้าหมายที่กำหนดโดยผู้ลงนามในกฎบัตรการลดปริมาณคาร์บอนของอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil and Gas Decarbonization Charter) ที่ตกลงกันในเวทีการประชุมสมัชชาภาคีประเทศอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 28 (COP28) - เชลล์ยังคงเป็นผู้นำอุตสาหกรรมในการลดการปล่อยก๊าซมีเทน โดยเป็นหนึ่งในบริษัทแรก ๆ ที่ตั้งเป้าหมายที่จะบรรลุการปล่อยก๊าซมีเทนเกือบเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยในปี ค.ศ. 2023 เชลล์บรรลุการปล่อยความเข้มข้นของ
ก๊าซมีเทนที่ 05% ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่ 0.2% อย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ในปี ค.ศ. 2023 เชลล์ยังได้ให้การสนับสนุนกองทุน World Bank’s Global Flaring and Methane Reduction ของธนาคารโลกเพื่อสนับสนุนการดำเนินการร่วมกัน
ของทั้งอุตสาหกรรมเพื่อการลดการปล่อยก๊าซมีเทนและการเผาก๊าซธรรมชาติเพื่อลดแรงดันในกระบวนการผลิต
ในปี ค.ศ. 2023 เชลล์บรรลุเป้าหมายด้านความเข้มข้นของคาร์บอนสุทธิของผลิตภัณฑ์พลังงานที่จำหน่าย โดยลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2016 ซึ่งเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันที่เชลล์บรรลุเป้าหมาย เชลล์กำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นธุรกิจพลังงานที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยที่มีจุดแข็ง
ที่สามารถแข่งขันได้ มองเห็นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า และเข้าใจชัดเจนกับกฎระเบียบที่ได้รับการสนับสนุน
จากภาครัฐ เพื่อผลักดันการลดการปล่อยคาร์บอนในภาคขนส่ง เชลล์ตั้งเป้าความท้าทายใหม่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันโดยลูกค้าลง 15-20% ภายในปีค.ศ. 2030 เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2021 (ขอบเขต
ที่ 3, หมวดที่ 11)
การมุ่งเน้นไปยังจุดที่เชลล์สามารถสร้างมูลค่าได้สูงสุด นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจไฟฟ้าแบบบูรณาการ เชลล์วางแผนที่จะสร้างธุรกิจไฟฟ้า รวมถึงพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนในภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย ยุโรป อินเดีย และสหรัฐอเมริกา และเชลล์ได้ถอนตัวการจัดหาพลังงานแก่ลูกค้ารายย่อยระดับครัวเรือนในยุโรป
เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในการจัดลำดับความสำคัญของมูลค่ามากกว่าปริมาณในธุรกิจไฟฟ้า เราจะให้ความสำคัญกับการเลือกตลาดและกลุ่มลูกค้า ซึ่งรวมถึงการขายไฟฟ้าให้กับลูกค้าภาคธุรกิจมากขึ้น และลดการขายให้กับลูกค้ารายย่อยลง การที่เราให้ความสำคัญกับมูลค่าเช่นนี้ เชลล์คาดว่าจะทำให้อัตราการเติบโตของยอดขายไฟฟ้าโดยรวมลดลงภายในปี ค.ศ. 2030 ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับเป้าหมายความเข้มข้นของการปล่อยคาร์บอนสุทธิของเชลล์ ปัจจุบันเชลล์มีเป้าหมายความเข้มข้นของคาร์บอนสุทธิจากผลิตภัณฑ์พลังงานที่จำหน่ายลง 15-20% ภายในปี ค.ศ. 2030
เมื่อเทียบกับปี ค.ศ. 2016 และเทียบกับเป้าหมายเดิมที่ 20%
ทั้งนี้ เชลล์จะยังคงรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับเป้าหมายและความมุ่งมั่นของเราอย่างโปร่งใสทุกปี
ขับเคลื่อนสู่อนาคตที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
ระหว่างปี ค.ศ. 2023 ถึงปลายปี ค.ศ. 2025 เชลล์ได้ลงทุนจำนวน 10,000-15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในโซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำ ซึ่งทำให้เชลล์กลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน โดยในปี ค.ศ. 2023 เชลล์ลงทุน 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในโซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำ หรือคิดเป็นกว่า 23% ของการลงทุนทั้งหมด
การลงทุนเหล่านี้ครอบคลุมถึงสถานีชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิงชีวภาพ พลังงานหมุนเวียน ไฮโดรเจน การดักจับและกักเก็บคาร์บอน การลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งสำหรับเชลล์และลูกค้า เชลล์มุ่งมั่นที่จะช่วยปรับขนาดเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อให้กลายเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับลูกค้า และยังมุ่งเน้นการผลักดันนโยบายสำคัญ ในด้านต่าง ๆ ที่เชลล์เชื่อมั่นว่ามีความสำคัญต่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เช่น นโยบายที่สนับสนุนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศ รวมถึงราคาคาร์บอน การจัดหาพลังงานที่มั่นคงตามความต้องการของโลก
การขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงความต้องการ และการเติบโตของโซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำ
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของลูกค้าจากการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันของเชลล์ (ขอบเขตที่ 3, หมวดที่ 11) อยู่ที่ 517 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ในปีค.ศ. 2023 ซึ่งลดลงจาก 569 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ในปีค.ศ. 2022
หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ
- รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการอัปเดตเป้าหมายด้านสภาพอากาศ ความมุ่งมั่น และผลการดำเนินงานของเชลล์
สามารถอ่านรายงานฉบับเต็มทางออนไลน์ ได้ที่ https://www.shell.co.th/th_th/media/media-2024/shell-publishes-energy-transition-strategy-2024/_jcr_content/par/textimage.stream/1710386815551/26357bbb7c06090d26fe803a7da5f23c637c8a56/shell-energy-transition-strategy-pdf - ผู้ถือหุ้นจะมีโอกาสลงคะแนนเสียงเกี่ยวกับการให้คำปรึกษา (advisory vote) ในกลยุทธ์การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน
ในงานประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี ค.ศ. 2024 ของเชลล์ - ความเข้มข้นทางคาร์บอนสุทธิของเชลล์ คือ ค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักตามยอดขายผลิตภัณฑ์พลังงานที่เชลล์จำหน่าย ซึ่งมีการติดตาม วัดผลและรายงาน โดยใช้วิธีการ Net Carbon Footprint (NCF) ของเชลล์
- เชลล์ได้ตั้งเจตนารมณ์ใหม่ในการลดการปล่อยคาร์บอนของลูกค้าจากการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันของเชลล์ลง 15-20% ภายใน
ปี ค.ศ. 2030 เมื่อเทียบกับปี ค.ศ.2021 (ขอบเขตที่ 3, หมวดที่ 11) ซึ่งมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับการปล่อยคาร์บอนที่เคยรายงานในปี ค.ศ.2016
ทั้งนี้ ในปี ค.ศ. 2023 การปล่อยคาร์บอนของลูกค้าจากการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำมันของเชลล์ (ขอบเขตที่ 3, หมวดที่ 11) อยู่ที่ 517 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ในปี ค.ศ. 2021 จำนวน 569 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) และ 819 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) ในปี ค.ศ. 2016 จากเป้าหมายที่จะลดลง 40% ภายในปี ค.ศ. 2030 ราว 8 เปอร์เซ็นต์ มาจากปริมาณที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเพิ่มเติมที่จัดประเภทเป็นการถือไว้เพื่อการซื้อขาย ซึ่งส่งผลกระทบต่อปริมาณที่รายงานตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นไป
การลดความเป็นเข้มข้นของคาร์บอนสุทธิของผลิตภัณฑ์ที่เชลล์จำหน่าย จำเป็นต้องอาศัยการดำเนินการทั้งจากเชลล์ (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 1 และ 2) และลูกค้า (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 3) ถึงแม้ว่าเชลล์สามารถส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์และโซลูชันคาร์บอนต่ำได้ แต่ก็ไม่สามารถควบคุมทางเลือกสุดท้ายของลูกค้าได้ การสนับสนุนจากรัฐบาลและผู้กำหนดนโยบายมีความสำคัญในการสร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอุปสงค์ ในปี ค.ศ. 2023 เชลล์ลงทุน จำนวน 5.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในโซลูชันพลังงานคาร์บอนต่ำ คิดเป็นกว่า 23% ของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการเข้าซื้อกิจการ Nature Energy ซึ่งทำให้เชลล์เป็นหนึ่งในผู้ผลิตก๊าซธรรมชาติหมุนเวียนรายใหญ่ที่สุดในยุโรป และการลงทุนอย่างต่อเนื่องของเรา
กับ Sprng Energy ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมพลังงานไฟฟ้าหมุนเวียนชั้นนำของอินเดีย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่น
ของเราในการลงทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านพลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ที่ตรงกับจุดแข็งและสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด นอกจากนี้ เรายังเป็นผู้ริเริ่มความพยายามในการขยายโซลูชันคาร์บอนต่ำ เช่น การเริ่มก่อสร้างโรงงาน Holland Hydrogen 1
ในรอตเตอร์ดัมในปลายปี ค.ศ. 2022 ซึ่งคาดว่าจะเป็นหนึ่งในโรงงานผลิตไฮโดรเจนหมุนเวียนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป