สิ้นสุดการรอคอย! ROYAL ENFIELD เปิดตำนานบท
ใหม่สายแอดเวนเจอร์!THE ALL NEW HIMALAYAN
เผยโฉมแรกในไทยที่งาน Bangkok International Motor Show 2024
- Royal Enfield เผยโฉม ALL-NEW HIMALAYAN: ด้วยนวัตกรรมใหม่ โรยัล เอ็นฟีลด์พร้อมโชว์ศักยภาพสุดแกร่งของ ALL-NEW HIMALAYAN ณ งาน Bangkok International Motor Show 2024
- สมดุลที่สมบูรณ์แบบ: THE ALL NEW HIMALAYAN ให้ความสมดุลที่สมบูรณ์แบบ โดดเด่นด้วยการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสมรรถนะและการใช้งาน เป็นรถมอเตอร์ไซค์สายทัวร์ริ่งสำหรับการผจญภัยที่ครบครันทุกฟังก์ชันการขับขี่
- การออกแบบอย่างพิถีพิถัน: การออกแบบ THE ALL NEW HIMALAYAN ได้รับแรงบันดาลใจและถูกออกแบบมาเพื่อพิชิตเส้นทางของเทือกเขาหิมาลัยที่ตั้งตระหง่าน โดยมอเตอร์ไซค์รุ่นนี้ได้ปรับให้เข้ากับลักษณะภูมิประเทศ สภาพแวดล้อม และสรีระของผู้ขับขี่ที่หลากหลาย เพื่อให้มั่นใจได้ว่า THE ALL NEW HIMALAYAN ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การเดินทางบนถนนทุกสายอย่างแท้จริง
- การผสมผสานทุกจุดเด่นให้เป็นหนึ่งเดียว: THE ALL NEW HIMALAYAN ออกแบบมาให้มีการผสมผสานระหว่างสมรรถนะการขับขี่ที่แข็งแกร่งที่มาพร้อมกับความเรียบง่าย แต่รวมความอเนกประสงค์เข้าไว้ด้วยกัน เป็นมอเตอร์ไซค์ที่รวมฟังก์ชันสำหรับการผจญภัยพร้อมไว้ในคันเดียว
กรุงเทพ 27 มีนาคม 2567: Royal Enfield (โรยัล เอ็นฟีลด์) ผู้นำตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางระดับโลก (250 ซีซี – 750 ซีซี) ได้เปิดตัว THE ALL-NEW HIMALAYAN ที่งาน Bangkok International Motor Show 2024 โดยครั้งนี้ Royal Enfield ได้พลิกโฉมระบบขับเคลื่อนให้กับ THE ALL-NEW HIMALAYAN รุ่นล่าสุดนี้ด้วยระบบเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำSherpa 450 ใหม่ ที่ควบรวมกับฟีเจอร์เทคโนโลยีอีกมากมาย ช่วยยกระดับการเดินทางผจญภัย พร้อมสร้างประสบการณ์การขับขี่ให้กับนักบิดสายลุยได้สนุกกับทุกโค้ง ทุกถนน กับตัวเครื่องที่เบาที่สุด และล้ำสมัยที่สุดของ Royal Enfield โดย Royal Enfield – THE ALL-NEW HIMALAYAN เตรียมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยภายในสิ้นปี 2567 นี้แน่นอน ซึ่งมาพร้อมกับ 3 เฉดสี ได้แก่ HANLE BLACK, KAZA BROWN, และ SLATE HIMALAYAN SALT
เมื่อพูดถึงเบื้องหลังแนวคิดการพัฒนา คุณ อนุจ ดัว – หัวหน้าฝ่ายธุรกิจ โรยัล เอ็นฟีลด์ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (Head of Business, Royal Enfield-APAC) กล่าวว่า “ก่อนที่เราจะเริ่มพัฒนา THE ALL-NEW HIMALAYAN เราได้ร่วมขับขี่ไปกับผู้บริโภคของเรา ได้พูดคุยกับนักเดินทางรอบโลก นักสำรวจ และนักกีฬา เพื่อเก็บข้อมูลมาผนวกกับประสบการณ์ของพวกเราเอง และได้ตัดสินใจเลือก DNA ที่สำคัญที่เราจำเป็นต้องรักษาไว้สำหรับ All New Himalayan 450 จับคู่กับระบบเครื่องยนต์ Sherpa 450 ที่ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งเป็นครั้งแรกจาก Royal Enfield นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่เรามีระบบคันเร่งไฟฟ้า ปรับได้ 4 รูปแบบ ให้การส่งกำลังและแรงบิดที่เหมาะสมสำหรับภูมิประเทศที่ท้าทาย และเป็นครั้งแรกในความร่วมมือกับ Google Maps ที่เรามี Tripper-Dash พร้อมการนำทางแผนที่เต็มรูปแบบ เราได้ทดสอบรถรุ่นนี้กับระยะทางมากกว่า 5,500 กม. ออกตัวจาก Chennai ไปจนถึง UmLing La ที่มีระดับความสูงถึง 19,024 ฟุต ดังนั้น THE ALL-NEW HIMALAYAN จึงเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างแนวคิดจากผู้เชี่ยวชาญ การพัฒนาเทคโนโลยี และ DNA ของ Royal Enfield ที่แท้จริง เรามั่นใจว่า THE ALL-NEW HIMALAYAN จะปลุกหัวใจนักผจญภัยชาวไทยผู้หลงใหลในวิถีไบเกอร์พร้อมร่วมทาง ‘Pure Motorcycling’ไปกับเรามากยิ่งขึ้น”
Highlight
ความสมดุลระหว่างคน เครื่องยนต์ และสภาพภูมิประเทศ เช่นเดียวกับรุ่นดั้งเดิม All New Himalayan ไม่ได้สร้างมาเพื่อบุกทะลวงเส้นทางด้วยความดุดันและแรงม้าที่เกินพอดี แต่กลับสร้างมาเพื่อถ่ายทอดพลังของเทือกเขาหิมาลัย ผสานการเดินทางที่สอดคล้องกับภูมิประเทศ และเพลิดเพลินไปกับพื้นที่อันแสนไกล ทั้งหมดคือการสร้างสมดุลระหว่างเส้นทาง ผู้ขับขี่ และสภาพแวดล้อม
สร้างมาเพื่อลุยทุกเส้นทาง…ตอบโจทย์การเดินทางทุกพื้นที่
‘น่าเกรงขามแต่ไม่น่ากลัว’ นับเป็นดีเอ็นเอที่อยู่ในตัวรถหิมาลายัน จากการปรับปรุงด้านพละกำลัง สมรรถนะ และการควบคุม All New Himalayan เป็นรถจักรยานยนต์ที่ขี่ง่าย ให้ความสมดุลขับขี่สบายแม้อยู่ในขณะความเร็วต่ำ ผสมผสานกับคลัตช์แบบใหม่ที่นิ่มลงและการตอบสนองของคันเร่งที่นุ่มนวลจากระบบคันเร่งไฟฟ้า ช่วยให้การขับขี่บนเส้นทางแคบและการจราจรคับคั่งได้อย่างง่ายดาย เบาะนั่งผู้ขี่แบบปรับระดับได้ ช่วยให้คุณปรับความพอดีกับสรีระของผู้ขับขี่ และ TripperDash ที่ชัดเจนและใช้งานง่ายและจะให้ข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการ
บนถนนภูเขาที่คดเคี้ยว เฟรมที่ออกแบบขึ้นมาใหม่มอบประสิทธิภาพการเข้าโค้งที่ดีขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับกำลังที่เพิ่มขึ้นของเครื่องยนต์ตัวใหม่ ในทางออฟโรด ระยะห่างจากพื้นดินที่สูงขึ้น ระยะยุบของระบบกันสะเทือนที่ได้รับการปรับปรุง และช่วงแรงบิดที่กว้างและมีแรงบิดที่สูงจากรอบเครื่องที่ต่ำ ทำให้การขับขี่ในทุกเส้นทางเป็นไปอย่างง่ายดาย เครื่องยนต์ Sherpa 450 ใหม่ที่ทรงพลังยิ่งขึ้นให้การขับขี่บนทางหลวงได้สบาย พร้อมทั้งรักษาประสิทธิภาพและพละกำลังบนระดับความสูงได้ดีกว่ารุ่นก่อนๆ รถจักรยานยนต์รุ่นใหม่มีระยะห่างจากพื้นมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับทางต่างระดับหรือหินบนถนนออฟโรดได้ดีกว่า และระบบนำทางที่ชัดเจนและเรียบง่าย เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ระบบนำทางอื่นๆ แยกต่างหากบนแฮนด์รถ
ขับเคลื่อนสู่จุดสูงสุดด้วย Sherpa 450
All New Himalayan มีกำลังและแรงบิดมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ให้แรงบิดรอบต่ำที่ยอดเยี่ยม และยังคงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Royal Enfield ด้วยกำลังสูงสุด 40.02 แรงม้า ที่ 8,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 40 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ Sherpa ขนาด 452 ซีซี ใหม่ สร้างแรงบิดสูงถึง 90% ของแรงบิดตั้งแต่ 3,000 รอบต่อนาทีขึ้นไป ไม่จำเป็นที่ต้องลากรอบให้สูงเพื่อเรียกกำลัง เพราะพละกำลังนั้นมาในช่วงรอบต่ำ ลักษณะนี้มีประโยชน์มากที่สุดเมื่อปีนขึ้นไปบนทางลาดชันที่ลื่น ช่วยให้ล้อสามารถหาจุดยึดเกาะได้ไม่ยากและถ้าเทียบกับเครื่องที่ไม่ได้แรงบิดรอบต้น ล้ออาจจะลื่นและเสียการควบคุม นอกจากนี้ แรงบิดที่สูงยังช่วยให้การขับขี่ขับได้ง่ายและสะดวกสบายเมื่อขับขี่พร้อมผู้ซ้อนและสัมภาระ เครื่องยนต์ใหม่มีการออกแบบอ่างน้ำมันเครื่องแบบกึ่งแห้งเพื่อเพิ่มระยะห่างจากพื้นสูงสุดและช่วยให้ตัวเครื่องมีรูปแบบกระทัดรัด นี่เป็นครั้งแรกของ Royal Enfield ที่ติดตั้งหม้อน้ำระบายความร้อนและปั๊มน้ำการระบายความร้อนแบบสองทางช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างมากในการขับขี่ในเส้นทางที่ค่อนข้างวิบากที่ต้องไต่ระดับความชันในระดับความสูงเหนือน้ำทะเล เป็นการออกแบบใหม่เพื่อรักษาสมรรถนะของเครื่องยนต์ เกียร์แบบ 6 สปีดใหม่มีอัตราส่วนที่ห่างขึ้น เหมาะสำหรับการขับขี่บนทางหลวงที่ดีขึ้น พร้อมระบบ Sliper Clutch ทำให้การทำงานของคลัตช์นิ่มลงและช่วยให้อายุการใช้งานของคลัตช์ยาวนานขึ้น
พัฒนามาอย่างดี เหมาะกับการขับขี่สายลุย
All New Himalayan มีความสูงจากพื้นถนนที่สูงกว่าเดิมและระบบกันสะเทือนที่ยุบได้มากกว่า ซึ่งช่วยให้คุณรับมือกับภูมิประเทศที่มีทางขรุขระได้มากกว่าเดิม โดยไม่ต้องมีความกังวลว่าท้องรถจะกระแทกกับพื้น เฟรมแบบใหม่ทั้งหมดได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ประโยชน์ในทางออฟโรด โดยไม่ทำให้ตัวรถหิมาลายันสูงเกินไปหรือเสียสมดุล เฟรมใหม่มีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิม ทำให้ประสิทธิภาพและเสถียรภาพในการเข้าโค้งดีขึ้นอย่างชัดเจน โช้คหัวกลับของ Showa ใหม่ ซึ่งออกแบบมาเพื่อทำงานในสภาพต่างๆ ตั้งแต่ถนนเรียบไปจนถึงก้นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยหิน คุณภาพของระบบกันสะเทือนไม่ใช่แค่เรื่องของสมรรถนะเท่านั้น แต่มาพร้อมกับการควบคุมที่ง่ายขึ้น เมื่อต้องรับมือกับเส้นทางภูมิประเทศที่ขรุขระ ลื่น ชัน และยากต่อการคาดเดา ทำให้ผู้ขับขี่ไม่เสียสมาธิในการควบคุมรถ ลดการออกแรงรับการกระแทกเมื่ออยู่ในทางที่ไม่เรียบ All New Himalayan ยังคงใช้ชุดล้อหน้า 21 นิ้ว และล้อหลัง 17 นิ้ว ที่ได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพมาจากรุ่นเดิม พร้อมขอบล้ออลูมิเนียมอัลลอยด์ที่พัฒนาขึ้นใหม่และยางสั่งทำพิเศษเพื่อการยึดเกาะที่เหนือกว่าให้ความมั่นใจในการควบคุมรถ และความเสถียรทั้งในสภาพถนนและทางออฟโรด นอกจากนี้ ยางหลังขนาด 140/80 ที่กว้างขึ้น ยังให้การยึดเกาะที่ดีขึ้นและเพิ่มความมั่นใจมากขึ้นทั้งบนถนนลาดยางและทางออฟโรด
‘สรีรศาสตร์’ ที่ออกแบบมาสำหรับนักสำรวจ
แชสซีใหม่และเครื่องยนต์ขนาดกะทัดรัด ทำให้มีพื้นที่ในการปรับปรุงหลักสรีรศาสตร์ของตัวรถเพื่อตอบสนองต่อสรีระของผู้ขับขี่ระยะระหว่างขาที่แคบลง ช่วยให้การควบคุมดีขึ้นเมื่ออยู่ในท่ายืน และทำให้การวางเท้าเหยียบลงพื้นได้เต็มฝ่าเท้ามากขึ้น เพื่มความมั่นใจให้ผู้ขี่ไม่ว่าจะอยู่ในท่าใด ส่วนด้านหลังของถังเชื้อเพลิงขนาด 17 ลิตร ได้รับการออกแบบให้เพรียวบางลงเพื่อให้มีที่วางเข่าที่สะดวกสบายยิ่งขึ้นขณะขับขี่ เบาะนั่งผู้ขี่และคนซ้อนแบบแยกส่วนช่วยให้ผู้ขี่สามารถปรับเบาะขึ้นได้ 20 มม. เหมาะสำหรับคนตัวสูง นอกจากที่นั่งแบบมาตรฐานแล้ว ยังมีที่นั่งแบบโลว์ซีท (Low Seat) เป็นอุปกรณ์เสริม ให้ผู้ขี่ปรับความสูงได้หลากหลาย เบาะนั่งมาตรฐานและเบาะนั่งต่ำที่เป็นอุปกรณ์เสริม ผู้ขี่จะมีช่วงความสูงของเบาะระหว่าง 805 มม. ไปจนถึงความสูงของเบาะนั่ง 845 มม. เมื่อรวมกับโครงและถังที่แคบจะทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจทั้งช่วงที่ขับและจอด ทั้งเบาะนั่งผู้ขี่และคนซ้อน ได้รับการออกแบบให้นั่งได้สบายแม้มีการขับขี่เป็นระยะเวลานาน ไม่ว่าบนถนนหรือออฟโรด
TripperDash เพื่อนร่วมผจญภัยไปกับคุณ
จากโจทย์ที่ว่า ‘มอบทุกสิ่งที่คุณต้องการ และตัดทุกส่วนเกินได้อย่างตรงใจ’ (‘Everything you need, and nothing you don’t’) เทคโนโลยีล่าสุดของ All New Himalayan มีจุดประสงค์เดียวคือเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้ขับขี่ จุดเด่นของ TripperDash คือ หน้าจอสีตัวใหม่ รูปทรงกลมแบบคลาสสิก แต่มีคุณสมบัติที่เป็นนวัตกรรมมากมายสำหรับผู้ขับขี่ พร้อมตัวเลือกในการเปลี่ยนจากการแสดงผลแบบอะนาล็อกดั้งเดิมเป็นรูปแบบดิจิทัล TripperDash นำเสนอการนำทางด้วยแผนที่เต็มรูปแบบครั้งแรกของโลกบนจอแสดงผลทรงกลมที่ใช้ Engine และข้อมูลแผนที่จากระบบ Google Maps พร้อมเสียงแนะนำในกว่า 130 ภาษา ตัวควบคุม Joystick ประกบแฮนด์ด้านซ้ายช่วยให้คุณควบคุมฟังก์ชัน เพลง การโทร และข้อความ ได้โดยไม่ต้องละสายตาเพื่นค้นหา เครื่องมือสื่อสารและนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเชื่อมต่อมือถือ ผู้ขับขี่สามารถเลือกระหว่างโหมดการขับขี่ Performance และ Eco การตอบสนองของคันเร่งจะเปลี่ยนด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้าแบบใหม่ ABS ด้านหลังสามารถปิดการใช้งานได้เพื่อประสบการณ์การขับขี่แบบออฟโรดที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้น
อุปกรณ์เสริมครบถ้วนสำหรับนักผจญภัย
ด้วยอุปกรณ์ตกแต่งรถจักรยานยนต์ที่น่าตื่นเต้นจากโรงงานกว่า 30 รายการ มีมาให้เลือกติดตั้ง All New Himalayan ในแบบ
ที่คุณต้องการ เพราะการผจญภัยและไลฟ์สไตล์ที่แต่งต่างของผู้ขับขี่ทำให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้สามารถปรับแต่งเพื่อสร้างเอกลักษณ์พร้อมจุดประกายและส่งต่อแรงบันดาลใจให้นักผจญภัยคนอื่นๆ ได้อีก ชุดอุปกรณ์ครั้งนี้มาใน 2 ธีม ได้แก่ แบบผจญภัย (Adventure) และแบบแรลลี่ (Rally) อุปกรณ์ตกแต่งของเหล่านักผจญภัย มุ่งเน้นไปที่ความสามารถในการขับขี่ระยะไกล โดยมีกล่องเอนกประสงค์แบบอะลูมิเนียม หน้าจอแบบยกสูง ที่นั่ง Adventure Seat รวมถึงไฟตัดหมอกแบบ LED ส่วนชุดอุปกรณ์ตกแต่งแบบแรลลี่ จะช่วยเพิ่มความสามารถในการขับขี่แบบออฟโรดให้กับ All New Himalayan อย่างแท้จริง เมื่อจับคู่บังโคลนหลังแรลลี่ เข้ากับเบาะนั่งแรลลี่ที่เพรียวบาง ตัวรถจะดูดุดันขึ้นมาทันที มากไปกว่านั้นชุดธีมแรลลี่จะรองรับการติดตั้ง (กระเป๋าอ่อนที่ไม่ต้องการแรคในการยึด (Rackless Soft Bags) และ กระเป๋าหลัง (Tail Pack) ในขณะที่ การ์ดเบรกมือ การ์ดคลัตช์ การ์ดอ่าง และการ์ดไฟหน้าให้การปกป้องขั้นสูงสุดสำหรับภูมิประเทศที่มีทางฝุ่นที่อันตรายและมีระดับความขรุขระอยู่ในระดับสูง
Royal Enfield แบรนด์รถจักรยานยนต์ที่มีสายการผลิตต่อเนื่องยาวนานที่สุดในโลก ได้สร้างสรรค์รถจักรยานยนต์ที่สง่างามมีเอกลักษณ์มาตั้งแต่ปี 1901 จากต้นกำเนิดในประเทศอังกฤษ ได้ส่งต่อศาสตร์แห่งการสร้างสรรค์อันล้ำค่ามาสู่โรงงานผลิตในเมือง Madras เมื่อปี 1955 นับเป็นฐานการผลิตสำคัญที่ Royal Enfield สร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมรถสองล้อขนาดกลางในประเทศอินเดีย สเน่ห์และความน่าสนใจของ Royal Enfield คือความมีเอกลักษณ์ ไม่ซับซ้อน เข้าถึงได้ พร้อมมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ นับเป็นยานพาหนะที่เหมาะในการสำรวจเปิดโลก และแสดงออกถึงบุคลิกที่มีเอกลักษณ์ของผู้ขับ ซึ่งเป็นแนวทางที่แบรนด์เรียกว่า Pure Motorcycling
กลุ่มผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมของ Royal Enfield ได้แก่ Meteor 350, Interceptor 650, Continental GT 650 รวมถึงมอเตอร์ไซค์แนวผจญภัย The All-New Himalayan, Bullet 350 รวมถึง Classic 350 ซึ่งกลุ่มนักขับขี่ผู้หลงใหลในเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์และการตกแต่ง สามารถร่วมกิจกรรมต่างๆ มากมายได้ตลอดทั้งปี ที่มีทั้งในประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติ ตัวอย่างกิจกรรมที่น่าจับตามองมากที่สุดคือ Motoverse หรือที่รู้จักในนาม Rider Mania ซึ่งเป็นการรวมตัวประจำปีของผู้ที่ชื่นชอบ Royal Enfield หลากหลายพันคน จัดขึ้นที่รัฐโกอา ประเทศอินเดีย และยังมีงาน Himalayan Odyssey ซึ่งเป็นการเดินทางประจำปีบนภูมิประเทศที่ท้าทายที่สุด ผ่านภูเขาที่สูงที่สุด และสามารถสร้างความประทับใจได้มากที่สุดเช่นกัน
Royal Enfield คือหนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ Eicher Motors Limited ดำเนินธุรกิจผ่านตัวแทนจำหน่ายกว่า 2,100 แห่ง ทั่วเมืองใหญ่ในอินเดีย รวมถึงมีการส่งออกไปสู่ 850 สโตร์ในอีกกว่า 60 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ Royal Enfield ยังมีศูนย์ดูแลเชิงเทคนิคระดับโลกสองแห่งในเมือง Bruntingthorpe สหราชอาณาจักร และในเมือง Chennai ประเทศอินเดีย โดยโรงงานผลิตที่ทันสมัยทั้งสองแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ Oragadam และ Vallam Vadagal ใกล้กับเมือง Chennai ประเทศอินเดีย นอกจากนี้ Royal Enfield ยังมีโรงงานประกอบ CKD อันทันสมัย 3 แห่งทั่วโลก ได้แก่ ประเทศไทย อาร์เจนตินา และโคลัมเบีย และด้วยอัตรา CAGR เติบโตมากกว่า 37% ต่อปี ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา Royal Enfield มียอดขายในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น 108% ในปี 2021-2022 Royal Enfield จึงเป็นผู้นำในตลาดรถจักรยานยนต์ขนาดกลางระดับโลกอย่างแท้จริง