ยางรถยนต์ถือเป็นส่วนสำคัญที่ผู้ขับขี่รถยนต์ไม่ควรมองข้าม และต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับยางรถยนต์ให้ถ่องแท้ เพราะยางรถยนต์นั้นเป็นสิ่งเดียวที่ติดกับพื้นถนนมากที่สุด และเพื่อให้เกิดสมรรถภาพการขับขี่ที่ดีมีความปลอดภัย ประหยัดน้ำมัน และยืดอายุการใช้งาน ผู้ขับขี่ควรที่จะหมั่นตรวจสอบเรื่องของความดันลมยางให้ใกล้เคียงกับที่โรงงานผู้ผลิตรถยนต์กำหนดมาในคู่มือรถ หรือแผ่นโลหะหรือสติ๊กเกอร์ที่จะติดไว้บริเวณขอบประตู
การตรวจเช็คลมยาง ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะความดันลมยางน้้นจะมีผลอย่่างมากต่อการยึดเกาะถนน การทรงตัวของรถยนต์ อายุการใช้งานของยางรถยนต์ รวมไปถึงเรื่องของความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง แล้วเราควรตรวจเช็คลมยางเมื่อไหร่ดี มาถึงตรงนี้คงต้องบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ควรตรวจและเติมลมยางทุก 2 สัปดาห์ หรืออย่างน้อยสุดก็ควรจะเป็นเดือนละครั้ง การตรวจเช็คความดันลมยางบ่อยๆ จะทำให้ผู้ขับขี่มีโอกาสได้ดูเรื่องเกี่ยวกับดอกยาง ความลึกของร่องดอกยางไปด้วยในตัว และไม่ควรที่จะมองข้ามยางอะไหล่ที่อยู่ด้านท้ายรถด้วย ถ้าเป็นไปได้ก็ควรที่จะเติมลมยางให้มีค่ามากกว่ายางใช้งานปกติสักประมาณ 6 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว หรือตรวจเช็คทุกๆ 4 เดือน
เรื่องของดอกยางนั้นก็สำคัญไม่น้อย อย่างที่บอกไว้ว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีการเติมลมยาง เราควรที่จะตรวจดูร่องดอกยางด้วย เพราะดอกยางนั้นบริษัผู้ผลิตยางได้ออกแบบมาเพื่อการยึดเกาะถนน การรีดน้ำ ดอกยางที่ยังคงทำงานได้อย่างดีควรมีร่องลึกไม่น้อยกว่า 3 มิลลิเมตร แล้วถ้าดอกยางเริ่มหมด หรือมีความลึกที่น้อย ยังคงใช้งานได้อยู่หรือไม่ คำตอบคือ ยังใช้งานได้อยู่กับถนนที่แห้งและเรียบ เพราะยางที่ไม่มีดอกยางนั้น เนื้อยางที่ยังไม่แข็งกระด้าง จะเกาะถนนมากกว่ายางที่มีดอก เพราะหน้าสัมผัสของยางยิ่งกว้างมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเกาะถนนมากเท่านั้น การกดยึดเกาะถนนเกิดขึ้นด้วยแรงกดระหว่างหน้ายางกับผิวถนน ยิ่งมีหน้ายางที่เป็นพื้นกว้างก็ยิ่งยึดเกาะถนนได้ดี
แต่หากเจอกับสภาพถนนเปียกล่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ตรงกันข้ามกันเลย ยางไม่มีดอกจะเกิดอาการลื่นมาก เพราะว่าน้ำที่อยู่บนพื้นผิวถนนนั้นจะมีสภาพเป็นฟิล์มบางๆ คั้นระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน หากขับมาด้วยความเร็วอาการเหินน้ำก็จะเกิดขึ้น ทำให้การบังคับควบคุมเป็นไปด้วยความลำบาก และอาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้
ไหนๆ ก็คุยกันเรื่องของดอกยางแล้ว เราลองมาดูลักษณะต่างๆ ของลายดอกยางว่ามีลักษณะและการใช้งานที่ต่างกันอย่างไร ซึ่งยางที่จำหน่ายในท้องตลาดบ้านเรานั้น พอจะจำแนกแยกออกมาได้ 4 แบบใหญ่ๆ ด้วยกัน คือ
1.ยางดอกละเอียด RIB PATTERN ลักษณะจะเป็นลายดอกและร่องที่คดโค้งหรือเป็นเหลี่ยม เป็นแถวยาวตามเส้นรอบวงของยาง ร่องยางที่ตื้น ช่วยในการระบายความร้อน เกาะถนนได้ดี การบังคับเลี้ยวหรือควบคุมเป็นไปอย่างง่ายดาย มีคุณสมบัติในเรื่องของการป้องกันการลื่นไถลออกด้านข้างได้ดี ดอกยางชนิดนี้เหมาะกับรถโดยสารเป็นส่วนใหญ่
2.ยางดอกบั้ง LUG PATTERN ยางดอกบั้งนั้นจะมีลักษณะลายดอกและร่องยางเป็นแนวขวางกับเส้นรอบวงของยาง โดยที่ร่องยางจะมีความลึก เนื้อยางมีมาก เวลารถเคลื่อนจะเกิดแรงตะกรุยสูง และมีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าดอกยางแบบอื่นๆ เหมาะกับรถบรรทุกขนาดใหญ่ หรือรถที่วิ่งในอัตราความเร็วปานกลางจนถึงต่ำ
3.ดอกผสม RIB-LUG PATTERN เป็นยางที่ผสมระหว่างยางดอกละเอียดกับดอกบั้ง โดยที่ตรงกลางของหน้ายางเป็นลายแบบดอกละเอียด แต่ด้านข้างทั้งซ้ายและขวาจะเป็นลายดอกบั้ง มีคุณสมบัติในเรื่องของการเกาะถนน ป้องกันการลื่นไถลด้านข้าง และมีแรงตะกรุยดี สามารถใช้ได้ทั้งรถล้อหน้าและล้อหลัง วิ่งบนทางขรุขระหรือทางเรียบก็ได้
4.ดอกบล็อก BLOCK ลายดอกจะเป็นลักษณะก้อนเหลี่ยมหรือโค้งมน เรียงตัวกันคล้ายอิฐบล็อก มีช่องว่างระหว่างบล็อก เหมาะสำหรับพวกรถออฟโรด ที่จะใช้งานได้ดีบนพื้นทราย หรือโคลน